“ไพรเวต ฟันด์”เริ่มกลับเข้าลงทุนในหุ้น หลังช่วงก่อนหน้านี้แห่ขายหันถือเงินตามใบสั่งลูกค้า ผู้จัดการกองทุนเสี่ยงอ่อยผลตอบแทนที่ผ่านมาแทบใกล้เคียงกองทุนมันนีมาร์เกต เหตุช่วงวิกฤตหลายกองโยกเงินลงทุนผ่านกองทุนประเภทนี้ไว้เยอะ บางโครงการเหลือถือหุ้นไม่ถึง 20%ของเม็ดเงินทั้งหมด เพื่อรอจังหวะภาวะตลาดเอื้ออำนวย
แหล่งข่าวจากผู้จัดการกองทุนรายหนึ่ง กล่าวถึงภาวะการลงทุนของกองทุนส่วนบุคคล (ไพรเวต ฟันด์)ในช่วงที่ผ่านมาว่า ก่อนหน้านี้จากผลกระทบของวิกฤตการเงินโลก ทำให้บริษัทจัดการลงทุนหลายแห่งโดนลูกค้าตำหนิถึงผลตอบแทนจากการลงทุนที่ลดลง หรือบางรายอาจถึงขั้นมีผลดำเนินงานที่ขาดทุน
ทั้งนี้ ส่วนใหญ่กองทุนส่วนบุคคล เกือบร้อยละ80 ของพอร์ตผู้จัดการกองทุนจะให้ความสำคัญต่อการลงทุนในหุ้นมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหุ้นในประเทศ หรือในต่างประเทศก็ตาม โดยในต่างประเทศ กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (อีเมอร์จิ้งมาร์เกต) เป็นตลาดที่ให้ความสนใจมากเพราะมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี แม้จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินก็ตาม
แต่ที่ผ่านมาจากภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงอย่างมาก กองทุนส่วนบุคคลหลายโครงการ ได้ปรับลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นลงไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งบางแห่งเหลือการลงทุนในหุ้นเพียง20%ของสัดส่วนการลงทุนทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะถุกแบ่งนำไปลงในกองทุนรวมตลาดเงิน (มันนี มาร์เกต) และการถือเป็นเงินสดเพื่อรอจังหวะที่ราคาหุ้นมีการดีดตัวกลับมาอีกครั้ง
“ต้องยอมรับว่ามันเป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนเป็นอย่างมาก ทำให้ลูกค้าบางรายโทรมาสั่งให้เราทำการขายหุ้นเพื่อถือเงินสดเก็บไว้ก่อนก็มีบ้าง ขณะเดียวกันผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้วิธีโดยกเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากมาพักไว้ที่กองทุนมันนีมาร์เก็ตของบลจ.ที่มีการเปิดขายหน่วยลงทุนอยู่ตลอดเวลา เพื่อรอโอกาสที่เหมาะสม ดังนั้นแทบจะพูดได้เลยว่าผลตอบแทนกองทุนไพรเวต ฟันด์หลายโครงการช่วงนน่จะมียิลด์ที่ใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานของกองทุนมันนีมาร์เก็ต”
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีปัจจัยบวกเข้ามาส่งผลต่อดัชนีหุ้นในประเทศหลายปัจจัย โดยเฉพาะความคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งมีอยู่ในระดับหนึ่ง ตรงจุดนี้ได้ทำให้กองทุนส่วนบุคคลหลายโครงการเริ่มทำการปรับสัดส่วนลงทุนหันกลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง
ส่วนหุ้นที่ได้รับความสนใจยังเป็นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน และหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโครงการของภาครัฐ และการอุปโภคบริโภค เพราะเชื่อว่าหุ้นมในกลุ่มนี้จะมีความแข็งแกร่งและไม่น่าจะปรับตัวลดลงมากจากศักยภาพของบริษัท รวมทั้งความต้องการบริโภคของภาคประชาชน
ดังนั้นในปี 2552 เชื่อว่าหากภาวะการลงทุนเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ ภายใต้เงื่อนไขปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะการเมืองมีการคลี่คลายไปในทางที่ดี และปัจจัยในต่างประเทศ เริ่มหยุดนิ่งหรือไม่ส่งผลรุนแรงไปมากกว่านี้ เชื่อว่าภายในไตรมาส1/2552 สัดส่วนการลงทุนในหุ้นของบรรดากองทุนส่วนบุคคลน่าที่จะขยายตัวเพิ่ม แม้อาจจะไม่เท่ากับสัดส่วนการลงทุนในช่วงภาวะปกติ
“แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี2552 มองว่ายังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน และคงจะมีการแกว่งตัวขึ้นลงสูง แต่จากการที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมามาก และน่าจะเหลือช่องว่างให้ปรับลงอีกไม่มากนัก ทำให้กองทุนส่วนบุคคลหลายแห่งทยอยเข้าไปซื้อหุ้นที่ราคาปรับลงมามากบ้างแล้ว ซึ่งหุ้นที่น่าสนใจลงทุน คือ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มพาณิชย์ แต่จะหลีกเลี่ยงหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากจากปัญหาเศรษฐกิจและกำไรไม่แน่นอน อย่าง กลุ่มปิโตรเคมี อีกทั้งในปีหน้าจะมีการใช้ฟิวเจอร์สเข้ามาช่วยบริหารพอร์ตหุ้นด้วย”
อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการกองทุนจะพยายามหาจังหวะซื้อขายทำกำไรหุ้นบางส่วน เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการแกว่งตัวของตลาดในแต่ละรอบเช่นกันรวมทั้งจะติดตามปัจจัยต่างๆ อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
แหล่งข่าวจากผู้จัดการกองทุนรายหนึ่ง กล่าวถึงภาวะการลงทุนของกองทุนส่วนบุคคล (ไพรเวต ฟันด์)ในช่วงที่ผ่านมาว่า ก่อนหน้านี้จากผลกระทบของวิกฤตการเงินโลก ทำให้บริษัทจัดการลงทุนหลายแห่งโดนลูกค้าตำหนิถึงผลตอบแทนจากการลงทุนที่ลดลง หรือบางรายอาจถึงขั้นมีผลดำเนินงานที่ขาดทุน
ทั้งนี้ ส่วนใหญ่กองทุนส่วนบุคคล เกือบร้อยละ80 ของพอร์ตผู้จัดการกองทุนจะให้ความสำคัญต่อการลงทุนในหุ้นมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหุ้นในประเทศ หรือในต่างประเทศก็ตาม โดยในต่างประเทศ กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (อีเมอร์จิ้งมาร์เกต) เป็นตลาดที่ให้ความสนใจมากเพราะมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี แม้จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินก็ตาม
แต่ที่ผ่านมาจากภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงอย่างมาก กองทุนส่วนบุคคลหลายโครงการ ได้ปรับลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นลงไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งบางแห่งเหลือการลงทุนในหุ้นเพียง20%ของสัดส่วนการลงทุนทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะถุกแบ่งนำไปลงในกองทุนรวมตลาดเงิน (มันนี มาร์เกต) และการถือเป็นเงินสดเพื่อรอจังหวะที่ราคาหุ้นมีการดีดตัวกลับมาอีกครั้ง
“ต้องยอมรับว่ามันเป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนเป็นอย่างมาก ทำให้ลูกค้าบางรายโทรมาสั่งให้เราทำการขายหุ้นเพื่อถือเงินสดเก็บไว้ก่อนก็มีบ้าง ขณะเดียวกันผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้วิธีโดยกเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากมาพักไว้ที่กองทุนมันนีมาร์เก็ตของบลจ.ที่มีการเปิดขายหน่วยลงทุนอยู่ตลอดเวลา เพื่อรอโอกาสที่เหมาะสม ดังนั้นแทบจะพูดได้เลยว่าผลตอบแทนกองทุนไพรเวต ฟันด์หลายโครงการช่วงนน่จะมียิลด์ที่ใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานของกองทุนมันนีมาร์เก็ต”
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีปัจจัยบวกเข้ามาส่งผลต่อดัชนีหุ้นในประเทศหลายปัจจัย โดยเฉพาะความคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งมีอยู่ในระดับหนึ่ง ตรงจุดนี้ได้ทำให้กองทุนส่วนบุคคลหลายโครงการเริ่มทำการปรับสัดส่วนลงทุนหันกลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง
ส่วนหุ้นที่ได้รับความสนใจยังเป็นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน และหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโครงการของภาครัฐ และการอุปโภคบริโภค เพราะเชื่อว่าหุ้นมในกลุ่มนี้จะมีความแข็งแกร่งและไม่น่าจะปรับตัวลดลงมากจากศักยภาพของบริษัท รวมทั้งความต้องการบริโภคของภาคประชาชน
ดังนั้นในปี 2552 เชื่อว่าหากภาวะการลงทุนเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ ภายใต้เงื่อนไขปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะการเมืองมีการคลี่คลายไปในทางที่ดี และปัจจัยในต่างประเทศ เริ่มหยุดนิ่งหรือไม่ส่งผลรุนแรงไปมากกว่านี้ เชื่อว่าภายในไตรมาส1/2552 สัดส่วนการลงทุนในหุ้นของบรรดากองทุนส่วนบุคคลน่าที่จะขยายตัวเพิ่ม แม้อาจจะไม่เท่ากับสัดส่วนการลงทุนในช่วงภาวะปกติ
“แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี2552 มองว่ายังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน และคงจะมีการแกว่งตัวขึ้นลงสูง แต่จากการที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมามาก และน่าจะเหลือช่องว่างให้ปรับลงอีกไม่มากนัก ทำให้กองทุนส่วนบุคคลหลายแห่งทยอยเข้าไปซื้อหุ้นที่ราคาปรับลงมามากบ้างแล้ว ซึ่งหุ้นที่น่าสนใจลงทุน คือ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มพาณิชย์ แต่จะหลีกเลี่ยงหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากจากปัญหาเศรษฐกิจและกำไรไม่แน่นอน อย่าง กลุ่มปิโตรเคมี อีกทั้งในปีหน้าจะมีการใช้ฟิวเจอร์สเข้ามาช่วยบริหารพอร์ตหุ้นด้วย”
อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการกองทุนจะพยายามหาจังหวะซื้อขายทำกำไรหุ้นบางส่วน เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการแกว่งตัวของตลาดในแต่ละรอบเช่นกันรวมทั้งจะติดตามปัจจัยต่างๆ อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป