คอลัมน์ คุยกับผู้จัดการกองทุน
โดย ดร.ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมความเสี่ยง
บลจ.อยุธยา จำกัด
ในสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการตรวจสอบสถานะทางการเงินของท่านก่อนที่จะสิ้นปี ซึ่งกล่าวถึงแนวคิดทั่วๆไป หลังจากที่ท่านนักลงทุนตรวจสอบสถานะทางการเงินของท่านแล้ว สิ่งต่อมาที่ควรทำก็คือ ตรวจสอบสถานการณ์ลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปีหน้า ในสัปดาห์นี้ ซึ่งก็เหลืออีกไม่กี่วันแล้วนะครับ
สำหรับในช่วงปีที่ผ่านมา ท่านนักลงทุนหลายท่านคงจะขาดทุนจากการลงทุนในหุ้น ในขณะที่ท่านนักลงทุนหลายท่านอาจจะถึงขั้นกลัวการลงทุนไปเลยก็เป็นได้ จากที่ผมสังเกตในช่วงที่ผ่านมา เงินที่เคยลงทุนในกองทุน LTF และ RMF ซึ่งเป็นกองทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ดูเหมือนจะลดน้อยลงไปจากปีอื่นๆ ส่วนคนที่ลงทุนใน LTF ปีนี้ ก็หลีกเลี่ยงไปลงในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้บางส่วน เช่น ลงทุนในกอง LTF ที่ลงทุนในหุ้น 70% และลงทุนในตราสารหนี้ 30% เป็นต้น สัญญาณเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังมองตลาดหุ้นในแง่ลบ ส่งผลให้ท่านนักลงทุนบางท่านยอมที่จะไม่รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีผ่านการลงทุนใน LTF ทั้งๆที่จริงๆแล้ว การลงทุนใน LTF เป็นการลงทุนระยะยาว เพื่อหวังผลตอบแทนในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นจากตอนนี้มาก แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่การที่จำนวนผู้เข้าซื้อ LTF และ RMF ในช่วงนี้น้อยลงเป็นเพราะท่านนักลงทุนเฉลี่ยซื้อมาตลอดปีแล้ว
Tom Ruggie ประธานและผู้ก่อตั้ง Ruggie Wealth Management กล่าวว่า “Investments are the only thing in the world where people don’t want to buy things on sale” แปลเป็นไทยก็คือ “การลงทุนเป็นสิ่งเดียวในโลกนี้ที่ผู้คนไม่ต้องการซื้อในขณะที่ลดราคา (มีราคาถูกลง)” ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญการลงทุนหลายท่านให้คำแนะนำว่า ควรซื้อหุ้นในขณะที่มีราคาถูกและให้ขายในขณะที่มีราคาแพง ซึ่งเป็นแนวคิดง่ายๆสำหรับการทำการค้าเพื่อให้ได้กำไรทั่วไป แต่ในทางจิตวิทยาแล้วการลงทุนในตลาดขาลง อาจสร้างความไม่สบายใจให้แก่ท่านนักลงทุนหลายท่านได้ เพราะเกรงว่าหุ้นจะปรับตัวลดลงไปต่ำกว่านี้
การที่ท่านนักลงทุนทำการตรวจสอบสถานะการลงทุนของท่าน จะช่วยไม่ให้ท่านหลีกเลี่ยงความเสี่ยงมากเกินไป เพราะการลงทุนไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในการลงทุนในหุ้นเท่านั้น ท่านนักลงทุนสามารถลงทุนในกองทุนตลาดเงินที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก หรือลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยของกองทุนยาวและลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความมั่นคงสูง เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีขึ้นในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มต่ำลง สำหรับท่านนักลงทุนที่ไม่คิดจะลงทุนในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ ท่านก็อาจมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนจากอัตราเงินเฟ้อ กล่าวคือ หากท่านฝากเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป ซึ่งให้ดอกเบี้ยประมาณ 0.75% ก่อนหักภาษี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น 1% ค่าเงินของท่านก็จะลดอย่างน้อย 0.25%
ท่านนักลงทุนสามารถทำการตรวจสอบสถานการณ์ลงทุนของท่านเองโดยเริ่มจากตรวจสอบว่าท่านสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด เช่น ในปีนี้ท่านมีอายุเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี ความสามารถในการรับความเสี่ยงของท่านอาจจะลดลงเล็กน้อย เนื่องจากระยะเวลาในการหาเงินของท่านลดน้อยลงอีก 1 ปี สำหรับท่านนักลงทุนที่ชอบการลงทุนในหุ้น ท่านอาจจะจัดพอร์ตการลงทุนให้มีความผันผวนน้อยลง หรืออาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ขึ้นมาเล็กน้อย ขั้นตอนต่อมาก็คือ ตรวจสอบดูว่า เงินออมของท่านยังเป็นไปตามแผนการออมเพื่อการเกษียณหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามแผน ท่านนักลงทุนอาจจะต้องออมเพิ่มโดยการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ
สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนในปีหน้า ท่านนักลงทุนที่เกรงว่าราคาหุ้นอาจจะลดลงไปอีก ก็อาจจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ให้มากขึ้น โดยท่านนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้บ้าง อาจแบ่งเงินบางส่วนไปลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพ หรือลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นคุณค่า (value stock) เพื่อรับโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นเมื่อตลาดหุ้นพลิกกลับเป็นขาขึ้น สำหรับท่านนักลงทุนที่มองว่าการที่หุ้นมีราคาถูกเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนและท่านสามารถรับความเสี่ยงได้ ท่านอาจจะทยอยลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะขาดทุนเป็นจำนวนมาก หากราคาหุ้นปรับตัวลดลงอีก และท่านควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพ ซึ่งจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
โดย ดร.ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมความเสี่ยง
บลจ.อยุธยา จำกัด
ในสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการตรวจสอบสถานะทางการเงินของท่านก่อนที่จะสิ้นปี ซึ่งกล่าวถึงแนวคิดทั่วๆไป หลังจากที่ท่านนักลงทุนตรวจสอบสถานะทางการเงินของท่านแล้ว สิ่งต่อมาที่ควรทำก็คือ ตรวจสอบสถานการณ์ลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปีหน้า ในสัปดาห์นี้ ซึ่งก็เหลืออีกไม่กี่วันแล้วนะครับ
สำหรับในช่วงปีที่ผ่านมา ท่านนักลงทุนหลายท่านคงจะขาดทุนจากการลงทุนในหุ้น ในขณะที่ท่านนักลงทุนหลายท่านอาจจะถึงขั้นกลัวการลงทุนไปเลยก็เป็นได้ จากที่ผมสังเกตในช่วงที่ผ่านมา เงินที่เคยลงทุนในกองทุน LTF และ RMF ซึ่งเป็นกองทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ดูเหมือนจะลดน้อยลงไปจากปีอื่นๆ ส่วนคนที่ลงทุนใน LTF ปีนี้ ก็หลีกเลี่ยงไปลงในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้บางส่วน เช่น ลงทุนในกอง LTF ที่ลงทุนในหุ้น 70% และลงทุนในตราสารหนี้ 30% เป็นต้น สัญญาณเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังมองตลาดหุ้นในแง่ลบ ส่งผลให้ท่านนักลงทุนบางท่านยอมที่จะไม่รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีผ่านการลงทุนใน LTF ทั้งๆที่จริงๆแล้ว การลงทุนใน LTF เป็นการลงทุนระยะยาว เพื่อหวังผลตอบแทนในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นจากตอนนี้มาก แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่การที่จำนวนผู้เข้าซื้อ LTF และ RMF ในช่วงนี้น้อยลงเป็นเพราะท่านนักลงทุนเฉลี่ยซื้อมาตลอดปีแล้ว
Tom Ruggie ประธานและผู้ก่อตั้ง Ruggie Wealth Management กล่าวว่า “Investments are the only thing in the world where people don’t want to buy things on sale” แปลเป็นไทยก็คือ “การลงทุนเป็นสิ่งเดียวในโลกนี้ที่ผู้คนไม่ต้องการซื้อในขณะที่ลดราคา (มีราคาถูกลง)” ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญการลงทุนหลายท่านให้คำแนะนำว่า ควรซื้อหุ้นในขณะที่มีราคาถูกและให้ขายในขณะที่มีราคาแพง ซึ่งเป็นแนวคิดง่ายๆสำหรับการทำการค้าเพื่อให้ได้กำไรทั่วไป แต่ในทางจิตวิทยาแล้วการลงทุนในตลาดขาลง อาจสร้างความไม่สบายใจให้แก่ท่านนักลงทุนหลายท่านได้ เพราะเกรงว่าหุ้นจะปรับตัวลดลงไปต่ำกว่านี้
การที่ท่านนักลงทุนทำการตรวจสอบสถานะการลงทุนของท่าน จะช่วยไม่ให้ท่านหลีกเลี่ยงความเสี่ยงมากเกินไป เพราะการลงทุนไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในการลงทุนในหุ้นเท่านั้น ท่านนักลงทุนสามารถลงทุนในกองทุนตลาดเงินที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก หรือลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยของกองทุนยาวและลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความมั่นคงสูง เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีขึ้นในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มต่ำลง สำหรับท่านนักลงทุนที่ไม่คิดจะลงทุนในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ ท่านก็อาจมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนจากอัตราเงินเฟ้อ กล่าวคือ หากท่านฝากเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป ซึ่งให้ดอกเบี้ยประมาณ 0.75% ก่อนหักภาษี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น 1% ค่าเงินของท่านก็จะลดอย่างน้อย 0.25%
ท่านนักลงทุนสามารถทำการตรวจสอบสถานการณ์ลงทุนของท่านเองโดยเริ่มจากตรวจสอบว่าท่านสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด เช่น ในปีนี้ท่านมีอายุเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี ความสามารถในการรับความเสี่ยงของท่านอาจจะลดลงเล็กน้อย เนื่องจากระยะเวลาในการหาเงินของท่านลดน้อยลงอีก 1 ปี สำหรับท่านนักลงทุนที่ชอบการลงทุนในหุ้น ท่านอาจจะจัดพอร์ตการลงทุนให้มีความผันผวนน้อยลง หรืออาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ขึ้นมาเล็กน้อย ขั้นตอนต่อมาก็คือ ตรวจสอบดูว่า เงินออมของท่านยังเป็นไปตามแผนการออมเพื่อการเกษียณหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามแผน ท่านนักลงทุนอาจจะต้องออมเพิ่มโดยการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ
สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนในปีหน้า ท่านนักลงทุนที่เกรงว่าราคาหุ้นอาจจะลดลงไปอีก ก็อาจจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ให้มากขึ้น โดยท่านนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้บ้าง อาจแบ่งเงินบางส่วนไปลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพ หรือลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นคุณค่า (value stock) เพื่อรับโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นเมื่อตลาดหุ้นพลิกกลับเป็นขาขึ้น สำหรับท่านนักลงทุนที่มองว่าการที่หุ้นมีราคาถูกเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนและท่านสามารถรับความเสี่ยงได้ ท่านอาจจะทยอยลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะขาดทุนเป็นจำนวนมาก หากราคาหุ้นปรับตัวลดลงอีก และท่านควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพ ซึ่งจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน