เสกสรร โตวิวัฒน์ บลจ.บัวหลวง
ปัจจุบันกองทุนรวมในเมืองไทยมีให้เลือกอยู่หลายประเภท และในแต่ละประเภทก็มีนโยบายที่แตกต่างกันให้เลือกแยกออกไปอีก ในแต่ละช่วงเวลาก็จะมีกองทุนรวมต่างๆ ผลัดกันขึ้นมาโดดเด่นเป็นพระเอกในสายตานักลงทุน ช่วงไหนตลาดหุ้นดีกองทุนหุ้นก็จะได้รับความนิยม ถูกพูดถึงบ่อยๆ พอถึงช่วงตลาดหุ้นตกลงอย่างตอนนี้ ข่าวคราวของกองทุนหุ้นก็จะหายไปจากความสนใจจากสื่อและนักลงทุน หรือช่วงไหนที่เงินเฟ้อสูงมากๆ กองทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอและมีโอกาสปรับเพิ่มได้อย่างกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ก็จะกลายเป็นพระเอกขึ้นมาแทน สื่อต่างๆ ก็จะนำเสนอและให้ข้อมูลกับผู้ลงทุนถี่ขึ้น แต่ก็มีกองทุนอยู่ 2 ประเภท 4 แบบครับ ที่เรียกว่าเป็นดาวค้างฟ้า แม้บางช่วงจะไม่หวาหวือแต่ก็มีผู้ลงทุนให้ความนิยมอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเปรียบธุรกิจกองทุนรวมเป็นวงการดารา กองทุนเหล่านี้ถือว่าเป็นพระเอกนางเอกนิสัยดี ฝีมือสูงงานละครให้เล่นสม่ำเสมอ มีแฟนคลับชื่นชอบจำนวนมาก
กองทุน 2 ประเภทที่ว่านี้ก็คือ กองทุนตราสารหนี้ และกองทุนลดภาษีครับ เนื่องจากธรรมชาติของคนไทยและคนเอเชีย ยังนิยมการลงทุนที่มีความแน่นอนให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ไม่ชอบความหวือหวา คือชอบแต่กำไรไม่อยากขาดทุน น้อยหน่อยก็ได้ ทำให้กองทุนตราสารหนี้ในเมืองไทยจึงเป็นที่นิยมมากที่สุด มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดกว่า 60% ของธุรกิจกองทุนรวม โดยกองทุนตราสารหนี้ที่ได้รับความนิยมมากขณะนี้ 2 แบบ คือ กองทุนตราสารหนี้ประเภทแบบ cash fund ที่มีสภาพคล่องสูงซื้อขายได้ทุกวันและความเสี่ยงต่ำมากๆ เหมาะที่จะใช้คู่กับบัญชีออมทรัพย์เพื่อเพิ่มมูลค่าของเงินออมประจำวันเนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ กองทุนแบบนี้จัดเป็นนางเอกน่ารักนิสัยดี ผลงานไม่หวือหวา แต่มีนักลงทุนและผู้ฝากเงินจำนวนมากนิยมชมชอบอยู่เรื่อยๆ ติดตามผลงานอยู่เนื่องๆ
ส่วนกองทุนตราสารหนี้แบบมีกำหนดระยะเวลา ประเภทเปิดขายเพียงครั้งเดียว จะมีสภาพคล่องต่ำกว่าเพราะเมื่อลงทุนแล้วต้องถือจนครบอายุโครงการ ซึ่งอาจจะสั้นๆ แค่ 3 เดือน 6 เดือน หรือยาว 1-2 ปี กองทุนประเภทนี้ ผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับส่วนใหญ่จะมากกว่ากองทุนตราสารหนี้ประเภท cash fund แต่จะเป็นเท่าไรขึ้นกับตราสารที่ลงทุน ความเสี่ยงและสภาวะการของตลาดเงินตอนนั้น ที่นิยมกันมากก็คือ กองทุนพันธบัตรรัฐบาล หรือลงทุนในสถาบันการเงินในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำมากๆ ซึ่งผลตอบแทนก็จะไม่มากมายนัก ผู้ลงทุนส่วนใหญ่ก็ยอมรับได้เพราะเข้าใจพื้นฐานของของพันธบัตรรัฐบาลอยู่แล้ว แต่จะได้รับความนิยมจองซื้อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะหากผลตอบแทนที่ให้ต่ำเกินไปจนไม่จูงใจ หรือในช่วงเวลาเดียวกันมีกองทุนที่ลงทุนแบบอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าก็อาจทำให้กองทุนพันธบัตรไม่ได้รับความนิยมก็เป็นได้ นอกจากนี้กองทุนตราสารหนี้แบบมีกำหนดระยะเวลายังนิยมไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนดีๆ ความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรของรัฐบาลต่างประเทศ ตั๋วของสถาบันการเงินยุโรปที่ได้รับอันดับความน่าเชื่อถือสูงๆ ซึ่งกองทุนกลุ่มนี้จะให้ผลตอบแทนเท่าไรจะขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยของประเทศนั้นๆ สภาวะตลาด และต้นทุนของการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน จนบางกองทุนเลือกที่จะไม่ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน เนื่องจากสกุลเงินนั้นมีต้นทุนค่าป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเทียบกับเงินบาทแพงมาก กองทุนกลุ่มนี้จัดเป็นนางเอกที่ต้องใช้ฝีมือ ต้องมีบทดีๆ คอยส่ง กองทุนจึงจะได้รับความสนใจจองซื้อจากนักลงทุน เพราะนางเอกแต่ละคน บทละครแต่ละเรื่องก็อาจถูกใจคนหนึ่งแต่ไม่ถูกใจผู้ลงทุนอีกคนหนึ่งก็ได้
สำหรับกองทุนลดภาษีอย่าง กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เรียกว่าเป็นกองทุนที่มีต้นทุนทางสังคมสูงกว่ากองทุนประเภทอื่นมาก เพราะผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถนำเงินลงทุนไปใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อขอลดหย่อนได้ เป็นพระเอกก็เรียกกว่ามีหน้าตาเป็นอาวุธ ตรงเสป๊คเป็นที่ถูกใจของนักลงทุนอยู่แล้ว แต่จะได้รับความสนใจลงทุนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือการแสดง (ผลตอบแทน) ในตอนนั้นๆ
กองทุน RMF ตราสารหนี้ที่ดี NAV ก็จะต้องนิ่งๆ ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก ลงทุนแล้วอุ่นใจได้ว่าปลอดภัย จึงจะได้รับความนิยม ขณะที่กองทุน RMF ที่เน้นลงทุนในหุ้น และกองทุน LTF ก็จะต้องให้ผลตอบแทนที่ดีคุ้มค่ากับความเสี่ยงของผู้ลงทุน ถ้าเป็นกองทุนประเภท Active ยามหุ้นขึ้นก็ต้องสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า SET Index ยามหุ้นตกผลตอบแทนก็ควรลดลงน้อยกว่า SET Index เช่นกัน ที่สำคัญคือต้องมีความสม่ำเสมอของผลตอบแทนที่ให้กับผู้ลงทุน ไม่ใช่ว่าปีนี้อยู่อันดับ1 แต่ปีต่อไปกลับพลิกหล่นไปอยู่อับดับท้ายๆ ของกลุ่ม เพราะการลงทุนใน RMF และ LTF ไม่ได้ใช้เวลาลงทุนสั้นๆ ซื้อเพิ่มได้ไม่จำกัดหรือยอมขายตัดขาดทุนได้ ถ้ากองทุนหวือหวามากหากผู้ลงทุนเลือกลงทุนผิดจังหวะก็อาจทำให้มีต้นทุนที่สูง มีโอกาสขาดทุนมาก ทำให้ผิดหวังกับการลงทุนได้ ดังนั้นกองทุน RMF หุ้น และ LTF ที่ดีจึงควรให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอกับผู้ลงทุน มีระดับความผันผวนต่ำ เพราะจะมีโอกาสลงทุนในเวลาที่ผิดพลาดน้อยลง
สำหรับกองทุน LTF ปัจจุบันมีรูปแบบที่หลากหลายมาก เกินกว่าจะบอกรวมๆ ได้ว่านี่คือกองทุนหุ้นที่ไม่แตกต่างกัน แน่นอนสไตล์ของการบริหาร นโยบายและกรอบการลงทุนที่ไม่เหมือนกันย่อมแสดงผลลัพธ์ออกมาให้เห็นที่ผลตอบแทนของกองทุน ซึ่งผลตอบแทนที่ดีอาจขึ้นกับสภาวะตลาดที่เอื้อกับรูปแบบกองทุนที่กำหนดไว้ หรือฝีมือของผู้จัดการกองทุนจริงๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ดังนั้นการเลือกดูกองทุนแต่ละกองว่าเหมาะสมกับการลงทุนในสไตล์ของเราหรือจริงหรือไม่ นักลงทุนอาจต้องลองทำตัวเหมือนนักข่าวบันเทิงดูสักครั้ง คือ ตามดูให้ลึกไปถึงเรื่องราวส่วนตัวของดารา ว่าเนื้อแท้แล้วเป็นคนเก่งคนดีมีฝีมือจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่บทละครที่ส่งให้ขึ้นไปค้างฟ้า
ปัจจุบันกองทุนรวมในเมืองไทยมีให้เลือกอยู่หลายประเภท และในแต่ละประเภทก็มีนโยบายที่แตกต่างกันให้เลือกแยกออกไปอีก ในแต่ละช่วงเวลาก็จะมีกองทุนรวมต่างๆ ผลัดกันขึ้นมาโดดเด่นเป็นพระเอกในสายตานักลงทุน ช่วงไหนตลาดหุ้นดีกองทุนหุ้นก็จะได้รับความนิยม ถูกพูดถึงบ่อยๆ พอถึงช่วงตลาดหุ้นตกลงอย่างตอนนี้ ข่าวคราวของกองทุนหุ้นก็จะหายไปจากความสนใจจากสื่อและนักลงทุน หรือช่วงไหนที่เงินเฟ้อสูงมากๆ กองทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอและมีโอกาสปรับเพิ่มได้อย่างกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ก็จะกลายเป็นพระเอกขึ้นมาแทน สื่อต่างๆ ก็จะนำเสนอและให้ข้อมูลกับผู้ลงทุนถี่ขึ้น แต่ก็มีกองทุนอยู่ 2 ประเภท 4 แบบครับ ที่เรียกว่าเป็นดาวค้างฟ้า แม้บางช่วงจะไม่หวาหวือแต่ก็มีผู้ลงทุนให้ความนิยมอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเปรียบธุรกิจกองทุนรวมเป็นวงการดารา กองทุนเหล่านี้ถือว่าเป็นพระเอกนางเอกนิสัยดี ฝีมือสูงงานละครให้เล่นสม่ำเสมอ มีแฟนคลับชื่นชอบจำนวนมาก
กองทุน 2 ประเภทที่ว่านี้ก็คือ กองทุนตราสารหนี้ และกองทุนลดภาษีครับ เนื่องจากธรรมชาติของคนไทยและคนเอเชีย ยังนิยมการลงทุนที่มีความแน่นอนให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ไม่ชอบความหวือหวา คือชอบแต่กำไรไม่อยากขาดทุน น้อยหน่อยก็ได้ ทำให้กองทุนตราสารหนี้ในเมืองไทยจึงเป็นที่นิยมมากที่สุด มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดกว่า 60% ของธุรกิจกองทุนรวม โดยกองทุนตราสารหนี้ที่ได้รับความนิยมมากขณะนี้ 2 แบบ คือ กองทุนตราสารหนี้ประเภทแบบ cash fund ที่มีสภาพคล่องสูงซื้อขายได้ทุกวันและความเสี่ยงต่ำมากๆ เหมาะที่จะใช้คู่กับบัญชีออมทรัพย์เพื่อเพิ่มมูลค่าของเงินออมประจำวันเนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ กองทุนแบบนี้จัดเป็นนางเอกน่ารักนิสัยดี ผลงานไม่หวือหวา แต่มีนักลงทุนและผู้ฝากเงินจำนวนมากนิยมชมชอบอยู่เรื่อยๆ ติดตามผลงานอยู่เนื่องๆ
ส่วนกองทุนตราสารหนี้แบบมีกำหนดระยะเวลา ประเภทเปิดขายเพียงครั้งเดียว จะมีสภาพคล่องต่ำกว่าเพราะเมื่อลงทุนแล้วต้องถือจนครบอายุโครงการ ซึ่งอาจจะสั้นๆ แค่ 3 เดือน 6 เดือน หรือยาว 1-2 ปี กองทุนประเภทนี้ ผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับส่วนใหญ่จะมากกว่ากองทุนตราสารหนี้ประเภท cash fund แต่จะเป็นเท่าไรขึ้นกับตราสารที่ลงทุน ความเสี่ยงและสภาวะการของตลาดเงินตอนนั้น ที่นิยมกันมากก็คือ กองทุนพันธบัตรรัฐบาล หรือลงทุนในสถาบันการเงินในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำมากๆ ซึ่งผลตอบแทนก็จะไม่มากมายนัก ผู้ลงทุนส่วนใหญ่ก็ยอมรับได้เพราะเข้าใจพื้นฐานของของพันธบัตรรัฐบาลอยู่แล้ว แต่จะได้รับความนิยมจองซื้อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะหากผลตอบแทนที่ให้ต่ำเกินไปจนไม่จูงใจ หรือในช่วงเวลาเดียวกันมีกองทุนที่ลงทุนแบบอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าก็อาจทำให้กองทุนพันธบัตรไม่ได้รับความนิยมก็เป็นได้ นอกจากนี้กองทุนตราสารหนี้แบบมีกำหนดระยะเวลายังนิยมไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนดีๆ ความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรของรัฐบาลต่างประเทศ ตั๋วของสถาบันการเงินยุโรปที่ได้รับอันดับความน่าเชื่อถือสูงๆ ซึ่งกองทุนกลุ่มนี้จะให้ผลตอบแทนเท่าไรจะขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยของประเทศนั้นๆ สภาวะตลาด และต้นทุนของการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน จนบางกองทุนเลือกที่จะไม่ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน เนื่องจากสกุลเงินนั้นมีต้นทุนค่าป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเทียบกับเงินบาทแพงมาก กองทุนกลุ่มนี้จัดเป็นนางเอกที่ต้องใช้ฝีมือ ต้องมีบทดีๆ คอยส่ง กองทุนจึงจะได้รับความสนใจจองซื้อจากนักลงทุน เพราะนางเอกแต่ละคน บทละครแต่ละเรื่องก็อาจถูกใจคนหนึ่งแต่ไม่ถูกใจผู้ลงทุนอีกคนหนึ่งก็ได้
สำหรับกองทุนลดภาษีอย่าง กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เรียกว่าเป็นกองทุนที่มีต้นทุนทางสังคมสูงกว่ากองทุนประเภทอื่นมาก เพราะผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถนำเงินลงทุนไปใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อขอลดหย่อนได้ เป็นพระเอกก็เรียกกว่ามีหน้าตาเป็นอาวุธ ตรงเสป๊คเป็นที่ถูกใจของนักลงทุนอยู่แล้ว แต่จะได้รับความสนใจลงทุนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือการแสดง (ผลตอบแทน) ในตอนนั้นๆ
กองทุน RMF ตราสารหนี้ที่ดี NAV ก็จะต้องนิ่งๆ ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก ลงทุนแล้วอุ่นใจได้ว่าปลอดภัย จึงจะได้รับความนิยม ขณะที่กองทุน RMF ที่เน้นลงทุนในหุ้น และกองทุน LTF ก็จะต้องให้ผลตอบแทนที่ดีคุ้มค่ากับความเสี่ยงของผู้ลงทุน ถ้าเป็นกองทุนประเภท Active ยามหุ้นขึ้นก็ต้องสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า SET Index ยามหุ้นตกผลตอบแทนก็ควรลดลงน้อยกว่า SET Index เช่นกัน ที่สำคัญคือต้องมีความสม่ำเสมอของผลตอบแทนที่ให้กับผู้ลงทุน ไม่ใช่ว่าปีนี้อยู่อันดับ1 แต่ปีต่อไปกลับพลิกหล่นไปอยู่อับดับท้ายๆ ของกลุ่ม เพราะการลงทุนใน RMF และ LTF ไม่ได้ใช้เวลาลงทุนสั้นๆ ซื้อเพิ่มได้ไม่จำกัดหรือยอมขายตัดขาดทุนได้ ถ้ากองทุนหวือหวามากหากผู้ลงทุนเลือกลงทุนผิดจังหวะก็อาจทำให้มีต้นทุนที่สูง มีโอกาสขาดทุนมาก ทำให้ผิดหวังกับการลงทุนได้ ดังนั้นกองทุน RMF หุ้น และ LTF ที่ดีจึงควรให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอกับผู้ลงทุน มีระดับความผันผวนต่ำ เพราะจะมีโอกาสลงทุนในเวลาที่ผิดพลาดน้อยลง
สำหรับกองทุน LTF ปัจจุบันมีรูปแบบที่หลากหลายมาก เกินกว่าจะบอกรวมๆ ได้ว่านี่คือกองทุนหุ้นที่ไม่แตกต่างกัน แน่นอนสไตล์ของการบริหาร นโยบายและกรอบการลงทุนที่ไม่เหมือนกันย่อมแสดงผลลัพธ์ออกมาให้เห็นที่ผลตอบแทนของกองทุน ซึ่งผลตอบแทนที่ดีอาจขึ้นกับสภาวะตลาดที่เอื้อกับรูปแบบกองทุนที่กำหนดไว้ หรือฝีมือของผู้จัดการกองทุนจริงๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ดังนั้นการเลือกดูกองทุนแต่ละกองว่าเหมาะสมกับการลงทุนในสไตล์ของเราหรือจริงหรือไม่ นักลงทุนอาจต้องลองทำตัวเหมือนนักข่าวบันเทิงดูสักครั้ง คือ ตามดูให้ลึกไปถึงเรื่องราวส่วนตัวของดารา ว่าเนื้อแท้แล้วเป็นคนเก่งคนดีมีฝีมือจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่บทละครที่ส่งให้ขึ้นไปค้างฟ้า