เศรษฐกิจโลกผันผวน ความวิตกกังวลของนักลงทุนจากปัญหารุมเร้าในด้านต่างๆ ทำให้มีการชะลอการลงุทน และหันมาถือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเพิ่มมากขึ้น ขณะที่กองทุนรวมหุ้นเองก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวด้วยเช่นกัน
ส่วนกองทุนรวมที่ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นคงหนีไม่พ้นกองทุนความเสี่ยงต่ำ อย่างกองทุนตราสารหนี้ แต่หากจำแนกความเสี่ยงแล้ว นโยบายการลงทุนเองก็มีผลด้วยเช่นกัน เพราะตราสารหนี้ที่ลงทุนนั้นบางตัวเกี่ยวของกับ บริษัทเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ หรือนับว่ายังคงมีความเสี่ยงสูงอยู่ถึงแม้ให้ผลตอบแทนในระดับสูงก็ตาม
ที่ยอมรับกันว่ามีความเสี่ยงต่ำจริงๆ น่าจะเป็นกองทุนที่ลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาล และตั๋วเงินคลังเท่านั้น โดยปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีให้เลือกอยู่หลายกอง แต่ที่มีขนาดใหญ่และได้รับความนิยมในระดับต้นๆน่าจะเป็น กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ระยะสั้น หรือ K-TREASURY ที่บริหารโดย บลจ.กสิกรไทย
ปรากฎการณ์ความนิยมของกองทุนนี้วัดจาก สินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารตั้งแต่ช่วงต้นปี เพราะขนาดของมันโตเรียกได้ว่าเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว โดยในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมนั้น ขนาดของมันเพิ่มขึ้นสูงกว่า 2 หมื่นล้านบาท จาก 48,833.00 ล้านบาท มาอยู่ที่ 68,583 ล้านบาท เลยทีเดียว ไม่แค่นั้นการลงทุนในกองนี้ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 8.3 หมื่นล้านบาทแล้วในปัจจุบัน
นโยบายที่ว่ามีความเสี่ยงต่ำนั้น เพราะกองทุนนี้จะเน้นลงทุนในตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล หรือรัฐวิสาหกิจที่มีกระทรวงการคลังค้ำประกัน พันธบัตรรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจหรือตราสารแห่งหนี้อื่นใดที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าหรือเทียบเท่า โดยจะไม่ลงทุนในตรสารหนี้เอกชนแต่อย่างใด
ส่วนผลการดำเนินงานที่ผ่านมายังนับว่ายอดเยี่ยมเนื่องจากสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานมาตลอดเวลา โดย ณ เดือนกันยายนที่ผ่านมา ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีในอยู่ที่ 10.24% ส่วนเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 9.69% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีในอยู่ที่ 2.83% ส่วนเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 2.40% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนในอยู่ที่ 2.86% ส่วนเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 2.50% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนในอยู่ที่ 3.02% ส่วนเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 2.64%
(เกณฑ์มาตรฐานที่นำมาเปรียบเทียบมาจาก อัตรดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีเฉลี่ยของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์)
สำหรับการลงทุนของกองทุนในปัจจุบัน จากรายงานของบลจ.กสิกรไทย ณ ในเดือนกันยายน พบว่า มีสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย 90.44% ตั๋วเงินคลังและตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยกระทรวงการคลัง 5.37% ธนาคารกสิกรไทย 1.41% ธนาคารออมสิน 1.16% และธนาคารซิตี้แบงก์ เอ็นเอ 0.94%
ทราบข้อมูลกันมาพอสมควรแล้ว หันมาดูกลยุทธ์ในการลงทุนของผู้จัดการกองทุนนี้กันบ้าง ชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้บริหารฝ่ายจัดการกองทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย บอกว่า กลยุทธ์การลงทุนของกองทุนนี้ อย่างที่บอกตั้งแต่เริ่มต้นว่าเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยสิ่งที่เราคำนึงถึงมากที่สุดจะเป็น เครดิตของผู้ออกตราสาร เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการชำระหนี้
นอกจากนี้การควบคุมดูแลไม่ให้ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยมีความผันผวนมากนัก โดยจะต้องสะท้อนตามตลาดที่เป็นอยู่ให้ได้มากที่สุด โดยอายุของตราสารที่กองทุนลงทุนเฉลี่ยในปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์ ส่วนจะเปลี่ยนอย่างไรต้องดูตามสถาการณ์อีกครั้ง ซึ่งที่สั้นที่สุดที่ก็จะอยู่ที่ประมาณ 1 สัปดาห์เท่านั้น
“เราต้องดูเรื่องเครดิตก่อนถ้าเป็นของเอกชนเราจะไม่ลงเลย อีกส่วนก็คืออัตราดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้ยิลด์มันผันผวนเกินไป คือจะต้องสะท้อนตลาด และน่าจะเป็นไปตามแนวโน้มตามที่คาดการณ์ให้มากที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นจะได้รับผลกระทบได้”นายชัชชัยกล่าว
นายชัชชัย ทิ้งท้ายถึงกองทุนนี้อีกว่า กองทุนนนี้น่าจะเหมาะกับนักลงทุนที่ชอบความเสี่ยงต่ำ หรือเคยลงทุนแต่พันธบัตรรัฐบาล หรือ มีแต่ฝากเงินกับธนาคารมาก่อน เพราะกองนี้จะมีความเสี่ยงเหมือนกันกับทั้งสองช่องทาง และจะทำให้นักลงทุนได้รู้ว่า การลงทุนกองนี้ที่ลงทุนในตราสารหนี้ผลตอบแทนที่ได้จะไม่ตายตัวเหมือนที่เคยลงทุน
“คนที่มีเงินฝากแต่ในธนาคาร หรือลงทุนแต่ในพันธบัตร หรือกลัวความเสี่ยงน่าจะเลือกลงทุนกองทุนนี้ เพราะใกล้เคียงกัน แต่สภาพคล่องมันจะดีกว่าพันธบัตร แต่จะใกล้เคียงกับการฝากเงินออมทรัพย์ ส่วนผลตอบแทนนั้นจะเทียบเท่ากับฝากประจำ 1 ปี ซึ่งจะดีกว่าการฝากออมทรัพย์ธรรมดาแน่นอน”นายชัชชัยกล่าว
พอสังเขปกับข้อมูลของกองทุน K-TREASURY และน่าจะเพียงพอในการประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนได้ ส่วนที่จะบอกต่อจากนี้ เนื่องจากบลจ.กสิกรไทย และ บล.กสิกรไทย เขายังมีบริการพิเศษให้กับลูกค้าที่เป็นนักลงทุนหุ้นตัวยงให้สามารถรับผลตอบแทนได้ทุกเวลาอีกด้วย เพราะบริการซื้อขายหลักทรัพย์อัตโนมัติผ่านกองทุนกสิกรไทย หรือ K-Stock 2 Fund นั้นเป็นบริการที่ นักลงทุนสามารถนำเงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์จะถูกนำไปลงทุนอัตโนมัติในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นทันที และเมื่อมีการซื้อหลักทรัพย์จะทำการขายกองทุนเพื่อมาชำระค่าซื้อหลักทรัพย์โดยอัตโนมัติ
ที่ว่าได้ผลตอบแทนทุกเวลานั้นจะมาจาก ช่วงเวลาระหว่างรอทำการซื้อหลักทรัพย์ในครั้งใหม่ ซึ่งจากเดิมนักลงทุนมักจะนำเงินไปพักไว้ในบัญชีออมทรัพย์ แต่เมื่อนำมาลงทุนในกองทุนนี้จะทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น จากการคำนวณหน่วยลงทุนตามระยะเวลาที่อยู่ในกองทุนนี้เลยทีเดียว
ส่วนกองทุนรวมที่ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นคงหนีไม่พ้นกองทุนความเสี่ยงต่ำ อย่างกองทุนตราสารหนี้ แต่หากจำแนกความเสี่ยงแล้ว นโยบายการลงทุนเองก็มีผลด้วยเช่นกัน เพราะตราสารหนี้ที่ลงทุนนั้นบางตัวเกี่ยวของกับ บริษัทเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ หรือนับว่ายังคงมีความเสี่ยงสูงอยู่ถึงแม้ให้ผลตอบแทนในระดับสูงก็ตาม
ที่ยอมรับกันว่ามีความเสี่ยงต่ำจริงๆ น่าจะเป็นกองทุนที่ลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาล และตั๋วเงินคลังเท่านั้น โดยปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีให้เลือกอยู่หลายกอง แต่ที่มีขนาดใหญ่และได้รับความนิยมในระดับต้นๆน่าจะเป็น กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ระยะสั้น หรือ K-TREASURY ที่บริหารโดย บลจ.กสิกรไทย
ปรากฎการณ์ความนิยมของกองทุนนี้วัดจาก สินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารตั้งแต่ช่วงต้นปี เพราะขนาดของมันโตเรียกได้ว่าเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว โดยในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมนั้น ขนาดของมันเพิ่มขึ้นสูงกว่า 2 หมื่นล้านบาท จาก 48,833.00 ล้านบาท มาอยู่ที่ 68,583 ล้านบาท เลยทีเดียว ไม่แค่นั้นการลงทุนในกองนี้ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 8.3 หมื่นล้านบาทแล้วในปัจจุบัน
นโยบายที่ว่ามีความเสี่ยงต่ำนั้น เพราะกองทุนนี้จะเน้นลงทุนในตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล หรือรัฐวิสาหกิจที่มีกระทรวงการคลังค้ำประกัน พันธบัตรรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจหรือตราสารแห่งหนี้อื่นใดที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าหรือเทียบเท่า โดยจะไม่ลงทุนในตรสารหนี้เอกชนแต่อย่างใด
ส่วนผลการดำเนินงานที่ผ่านมายังนับว่ายอดเยี่ยมเนื่องจากสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานมาตลอดเวลา โดย ณ เดือนกันยายนที่ผ่านมา ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีในอยู่ที่ 10.24% ส่วนเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 9.69% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีในอยู่ที่ 2.83% ส่วนเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 2.40% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนในอยู่ที่ 2.86% ส่วนเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 2.50% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนในอยู่ที่ 3.02% ส่วนเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 2.64%
(เกณฑ์มาตรฐานที่นำมาเปรียบเทียบมาจาก อัตรดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีเฉลี่ยของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์)
สำหรับการลงทุนของกองทุนในปัจจุบัน จากรายงานของบลจ.กสิกรไทย ณ ในเดือนกันยายน พบว่า มีสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย 90.44% ตั๋วเงินคลังและตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยกระทรวงการคลัง 5.37% ธนาคารกสิกรไทย 1.41% ธนาคารออมสิน 1.16% และธนาคารซิตี้แบงก์ เอ็นเอ 0.94%
ทราบข้อมูลกันมาพอสมควรแล้ว หันมาดูกลยุทธ์ในการลงทุนของผู้จัดการกองทุนนี้กันบ้าง ชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้บริหารฝ่ายจัดการกองทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย บอกว่า กลยุทธ์การลงทุนของกองทุนนี้ อย่างที่บอกตั้งแต่เริ่มต้นว่าเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยสิ่งที่เราคำนึงถึงมากที่สุดจะเป็น เครดิตของผู้ออกตราสาร เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการชำระหนี้
นอกจากนี้การควบคุมดูแลไม่ให้ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยมีความผันผวนมากนัก โดยจะต้องสะท้อนตามตลาดที่เป็นอยู่ให้ได้มากที่สุด โดยอายุของตราสารที่กองทุนลงทุนเฉลี่ยในปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์ ส่วนจะเปลี่ยนอย่างไรต้องดูตามสถาการณ์อีกครั้ง ซึ่งที่สั้นที่สุดที่ก็จะอยู่ที่ประมาณ 1 สัปดาห์เท่านั้น
“เราต้องดูเรื่องเครดิตก่อนถ้าเป็นของเอกชนเราจะไม่ลงเลย อีกส่วนก็คืออัตราดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้ยิลด์มันผันผวนเกินไป คือจะต้องสะท้อนตลาด และน่าจะเป็นไปตามแนวโน้มตามที่คาดการณ์ให้มากที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นจะได้รับผลกระทบได้”นายชัชชัยกล่าว
นายชัชชัย ทิ้งท้ายถึงกองทุนนี้อีกว่า กองทุนนนี้น่าจะเหมาะกับนักลงทุนที่ชอบความเสี่ยงต่ำ หรือเคยลงทุนแต่พันธบัตรรัฐบาล หรือ มีแต่ฝากเงินกับธนาคารมาก่อน เพราะกองนี้จะมีความเสี่ยงเหมือนกันกับทั้งสองช่องทาง และจะทำให้นักลงทุนได้รู้ว่า การลงทุนกองนี้ที่ลงทุนในตราสารหนี้ผลตอบแทนที่ได้จะไม่ตายตัวเหมือนที่เคยลงทุน
“คนที่มีเงินฝากแต่ในธนาคาร หรือลงทุนแต่ในพันธบัตร หรือกลัวความเสี่ยงน่าจะเลือกลงทุนกองทุนนี้ เพราะใกล้เคียงกัน แต่สภาพคล่องมันจะดีกว่าพันธบัตร แต่จะใกล้เคียงกับการฝากเงินออมทรัพย์ ส่วนผลตอบแทนนั้นจะเทียบเท่ากับฝากประจำ 1 ปี ซึ่งจะดีกว่าการฝากออมทรัพย์ธรรมดาแน่นอน”นายชัชชัยกล่าว
พอสังเขปกับข้อมูลของกองทุน K-TREASURY และน่าจะเพียงพอในการประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนได้ ส่วนที่จะบอกต่อจากนี้ เนื่องจากบลจ.กสิกรไทย และ บล.กสิกรไทย เขายังมีบริการพิเศษให้กับลูกค้าที่เป็นนักลงทุนหุ้นตัวยงให้สามารถรับผลตอบแทนได้ทุกเวลาอีกด้วย เพราะบริการซื้อขายหลักทรัพย์อัตโนมัติผ่านกองทุนกสิกรไทย หรือ K-Stock 2 Fund นั้นเป็นบริการที่ นักลงทุนสามารถนำเงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์จะถูกนำไปลงทุนอัตโนมัติในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นทันที และเมื่อมีการซื้อหลักทรัพย์จะทำการขายกองทุนเพื่อมาชำระค่าซื้อหลักทรัพย์โดยอัตโนมัติ
ที่ว่าได้ผลตอบแทนทุกเวลานั้นจะมาจาก ช่วงเวลาระหว่างรอทำการซื้อหลักทรัพย์ในครั้งใหม่ ซึ่งจากเดิมนักลงทุนมักจะนำเงินไปพักไว้ในบัญชีออมทรัพย์ แต่เมื่อนำมาลงทุนในกองทุนนี้จะทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น จากการคำนวณหน่วยลงทุนตามระยะเวลาที่อยู่ในกองทุนนี้เลยทีเดียว