ผู้จัดการรายวัน-2บริษัทลูกแบงก์รวงข้าว จับมือให้บริการK-Stock 2 Fund ซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านกองทุนรวม ชูจุดเด่นเพิ่มผลตอบแทนทุกนาทีให้กับลูกค้า คาดจะมีผู้ใช้บริการถึง 23,00 บัญชีได้ไตรมาส 3 ของปีนี้ “วิวรรณ”ระบุบริการนี้จะสร้างประโยชน์ให้นักลงทุนมากกว่านำเงินไปพักในบัญชีออมทรัพย์ เนื่องจากกองทุนจะนำเงินไปลงทุนต่อในโปรดักต์ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากแบงก์
นางสาว ณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้ทำความร่วมมือกับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด ในการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์อัตโนมัติผ่านกองทุนกสิกรไทย หรือ K-Stock 2 Fund
สำหรับบริการนี้จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนของเงินลงทุนให้กับลูกค้าของบริษัท โดยเงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์จะถูกนำไปลงทุนอัตโนมัติในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำและมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
นอกจากนี้เมื่อมีการซื้อหลักทรัพย์บริษัทจะทำการขายกองทุนเพื่อมาชำระค่าซื้อหลักทรัพย์โดยอัตโนมัติ ซึ่งผลตอบแทนที่ลูกค้าได้รับก็ไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย โดยบริการนี้จึงถือเป็นการสร้าง Value Added ในการเพิ่มผลตอบแทนให้กับลูกค้า เพราะการขายหลักทรัพย์แล้วนำเงินไปเข้ากองทุนก็จะเป็นแบบอัตโนมัติ
“ลูกค้าจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นระหว่างที่รอการซื้อหลักทรัพย์ ซึ่งผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน ของกองทุนอยู่ที่ 2.65% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ที่ 0.75% และนอกจากนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มแล้ว การให้บริการนี้ ลูกค้ายังสามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งการทำรายการโดยให้นำเงินค่าขายหลักทรัพย์แต่ละรายการไปเข้าบัญชีออมทรัพย์ปกติได้อีกด้วย “นางสาวณัฐรินทร์กล่าว
นางสาว ณัฐรินทร์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีลูกค้าแสดงความต้องการใช้บริการแล้วถึง 40 บัญชี และคาดว่าในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้น่าจะมีผู้ใช้บริการได้ถึง 2,300 บัญชี ส่วนนักลงทุนหรือลูกค้าใหม่ของบริษัทจะมีการแนะนำให้ใช้บริการนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้นักลงทุนได้ประโยชน์ตลอดเวลาที่ลงทุน เพราะเงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ซึ่งนำเข้ามอยู่ในกองทุนนั้นจะคิดผลตอบแทนให้ทุกวัน
ทั้งนี้ บริการซื้อขายหลักทรัพย์อัตโนมัติผ่านกองทุนกสิกรไทย หรือ K-Stock 2 Fund จะให้บริการกับนักลงทุนโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการสมัครและการใช้บริการแต่อย่างใด ทั้งยังสะดวกสบายและมีความคล่องตัวสอดคล้องกับแนวคิดชีวิตเอกเขนกของเครือธนาคารกสิกรไทย โดยบริษัทยังคงยึดหลักการทำธุรกิจอย่างแตกต่างบนมาตรฐานเครือธนาคารกสิกรไทยในทุกๆ โปรดักต์
อย่างไรก็ตาม การให้บริการเชื่อมโยงกับกองทุนคงจะใช้กับแค่บริษัทในเครือ ธนาคารกสิกรไทยก่อน เนื่องจากเป็นนโยบายที่ต้องการสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในเครือ
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด กล่าวถึง การร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทยในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งนักลงทุนจะได้รับประโยชน์จากบริการนี้เป็นอย่างมาก และจะได้ผลตอบแทนมากกว่าในการพักเงินลงทุนในบัญชีออมทรัพย์
สำหรับกองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-Treasury) ที่บริษัทนำมาพักเงินจากการขายหลักทรัพย์ของนักลงทุน จะเป็นกองทุนที่มีสภาพคล่องสูง และมีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากลงทุนในตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจถึงร้อยละ 95.79 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน
โดยกองทุนนี้มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.65% และ6 เดือนย้อนหลังอยู่ที่ 2.73% ส่วน 1 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 2.70% ขณะที่ผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ประมาณ 9.97% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่อ้างอิงจากผลตอบแทนเงินฝากประจำ 1 ปี นอกจากนี้กองทุนยังไม่เสียค่าธรรมเนียมขาเข้า และขาออกอีกด้วย
“กองทุนนี้มีสภาพคล่องสูงคือระยะเวลาไถ่ถอนหน่วยลงทุนจะเป็น T+1 และก็มีความเสี่ยงต่ำมาก เพราะลงทุนในตราสารภาครัฐ ซึ่งถ้ารัฐเก็บภาษีไม่ได้ถึงจะไม่มีเงินจ่าย แต่ตามสมมุติฐานแล้วในความจริงรัฐต้องเก็บภาษีได้อยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นทำให้จะได้รับผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้นด้วยจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น”นางวิวรรณกล่าว
นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า กองทุน K-Treasury ในปัจจุบันถือว่าได้รับความนิยมจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยล่าสุดมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ สูงถึง 75,017.72 ล้านบาท และคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกจาการให้บริการส่วนนี้
อย่างไรก็ตาม หากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิมีขนาดเพิ่มมากขึ้นถึง 1 แสนล้านบาท ทางบริษัทอาจจะไม่ขยายกองทุนเพิ่มเติม เนื่องจากมองว่า กองทุนที่มีขนาดใหญ่มากเกินไปจะทำให้บริหารจัดการได้ไม่ดี ซึ่งอาจจะมีการตั้งกองทุนใหม่เพื่อรองรับบริการนี้ หรือจะใช้กองทุนมันนี่มาร์เก็ต อย่าง K-Money ซึ่งมีผลตอบแทนใกล้เคียงกันเป็นตัวเลือกแทน
“คิดว่าหากมีบริการนี้ขนาดกองทุนคงเพิ่มขึ้น แต่ถ้าถึง 1 แสนล้านคงจะไม่ขยายเพิ่มแล้ว เพราะมันจะดูแลลำบาก และคงต้องหากองอื่นเข้ามาแทน ซึ่งเรามีกอง K-Money ที่มีผลตอบแทนใกล้เคียงกัน แตกต่างกันเพียงว่าจะลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนด้วย แต่ก็เป็นส่วนน้อย อีกทั้งเรตติ้งที่ลงจะมีอยู่ในระดับสูงอีกด้วย”นางวิวรรณกล่าว
นางสาว ณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้ทำความร่วมมือกับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด ในการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์อัตโนมัติผ่านกองทุนกสิกรไทย หรือ K-Stock 2 Fund
สำหรับบริการนี้จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนของเงินลงทุนให้กับลูกค้าของบริษัท โดยเงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์จะถูกนำไปลงทุนอัตโนมัติในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำและมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
นอกจากนี้เมื่อมีการซื้อหลักทรัพย์บริษัทจะทำการขายกองทุนเพื่อมาชำระค่าซื้อหลักทรัพย์โดยอัตโนมัติ ซึ่งผลตอบแทนที่ลูกค้าได้รับก็ไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย โดยบริการนี้จึงถือเป็นการสร้าง Value Added ในการเพิ่มผลตอบแทนให้กับลูกค้า เพราะการขายหลักทรัพย์แล้วนำเงินไปเข้ากองทุนก็จะเป็นแบบอัตโนมัติ
“ลูกค้าจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นระหว่างที่รอการซื้อหลักทรัพย์ ซึ่งผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน ของกองทุนอยู่ที่ 2.65% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ที่ 0.75% และนอกจากนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มแล้ว การให้บริการนี้ ลูกค้ายังสามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งการทำรายการโดยให้นำเงินค่าขายหลักทรัพย์แต่ละรายการไปเข้าบัญชีออมทรัพย์ปกติได้อีกด้วย “นางสาวณัฐรินทร์กล่าว
นางสาว ณัฐรินทร์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีลูกค้าแสดงความต้องการใช้บริการแล้วถึง 40 บัญชี และคาดว่าในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้น่าจะมีผู้ใช้บริการได้ถึง 2,300 บัญชี ส่วนนักลงทุนหรือลูกค้าใหม่ของบริษัทจะมีการแนะนำให้ใช้บริการนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้นักลงทุนได้ประโยชน์ตลอดเวลาที่ลงทุน เพราะเงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ซึ่งนำเข้ามอยู่ในกองทุนนั้นจะคิดผลตอบแทนให้ทุกวัน
ทั้งนี้ บริการซื้อขายหลักทรัพย์อัตโนมัติผ่านกองทุนกสิกรไทย หรือ K-Stock 2 Fund จะให้บริการกับนักลงทุนโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการสมัครและการใช้บริการแต่อย่างใด ทั้งยังสะดวกสบายและมีความคล่องตัวสอดคล้องกับแนวคิดชีวิตเอกเขนกของเครือธนาคารกสิกรไทย โดยบริษัทยังคงยึดหลักการทำธุรกิจอย่างแตกต่างบนมาตรฐานเครือธนาคารกสิกรไทยในทุกๆ โปรดักต์
อย่างไรก็ตาม การให้บริการเชื่อมโยงกับกองทุนคงจะใช้กับแค่บริษัทในเครือ ธนาคารกสิกรไทยก่อน เนื่องจากเป็นนโยบายที่ต้องการสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในเครือ
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด กล่าวถึง การร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทยในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งนักลงทุนจะได้รับประโยชน์จากบริการนี้เป็นอย่างมาก และจะได้ผลตอบแทนมากกว่าในการพักเงินลงทุนในบัญชีออมทรัพย์
สำหรับกองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-Treasury) ที่บริษัทนำมาพักเงินจากการขายหลักทรัพย์ของนักลงทุน จะเป็นกองทุนที่มีสภาพคล่องสูง และมีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากลงทุนในตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจถึงร้อยละ 95.79 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน
โดยกองทุนนี้มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.65% และ6 เดือนย้อนหลังอยู่ที่ 2.73% ส่วน 1 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 2.70% ขณะที่ผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ประมาณ 9.97% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่อ้างอิงจากผลตอบแทนเงินฝากประจำ 1 ปี นอกจากนี้กองทุนยังไม่เสียค่าธรรมเนียมขาเข้า และขาออกอีกด้วย
“กองทุนนี้มีสภาพคล่องสูงคือระยะเวลาไถ่ถอนหน่วยลงทุนจะเป็น T+1 และก็มีความเสี่ยงต่ำมาก เพราะลงทุนในตราสารภาครัฐ ซึ่งถ้ารัฐเก็บภาษีไม่ได้ถึงจะไม่มีเงินจ่าย แต่ตามสมมุติฐานแล้วในความจริงรัฐต้องเก็บภาษีได้อยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นทำให้จะได้รับผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้นด้วยจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น”นางวิวรรณกล่าว
นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า กองทุน K-Treasury ในปัจจุบันถือว่าได้รับความนิยมจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยล่าสุดมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ สูงถึง 75,017.72 ล้านบาท และคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกจาการให้บริการส่วนนี้
อย่างไรก็ตาม หากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิมีขนาดเพิ่มมากขึ้นถึง 1 แสนล้านบาท ทางบริษัทอาจจะไม่ขยายกองทุนเพิ่มเติม เนื่องจากมองว่า กองทุนที่มีขนาดใหญ่มากเกินไปจะทำให้บริหารจัดการได้ไม่ดี ซึ่งอาจจะมีการตั้งกองทุนใหม่เพื่อรองรับบริการนี้ หรือจะใช้กองทุนมันนี่มาร์เก็ต อย่าง K-Money ซึ่งมีผลตอบแทนใกล้เคียงกันเป็นตัวเลือกแทน
“คิดว่าหากมีบริการนี้ขนาดกองทุนคงเพิ่มขึ้น แต่ถ้าถึง 1 แสนล้านคงจะไม่ขยายเพิ่มแล้ว เพราะมันจะดูแลลำบาก และคงต้องหากองอื่นเข้ามาแทน ซึ่งเรามีกอง K-Money ที่มีผลตอบแทนใกล้เคียงกัน แตกต่างกันเพียงว่าจะลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนด้วย แต่ก็เป็นส่วนน้อย อีกทั้งเรตติ้งที่ลงจะมีอยู่ในระดับสูงอีกด้วย”นางวิวรรณกล่าว