คำถาม - หากต้องการลงทุนในกองทุนรวม LTF หรือ RMF ที่เป็นกองหุ้น เพื่อนำไปลดหย่อนภาษี ควรจะลงทุนในช่วงใดดี ต้นปี กลางปี หรือปลายปีดีค่ะ นภา
ตอบ - เจ้าหน้าที่จากสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนได้ตอบคำถามไว้ดังนี้ครับ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) คู่แฝดสำคัญที่เป็นขวัญใจสำหรับผู้มีรายได้หลายๆคน และเข้าอกเข้าใจความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นเป็นอย่างดี เพราะกองทุนรวมทั้งสองกองนี้สามารถช่วยแบ่งเบาภาระภาษีที่หนักๆให้เป็นเบาได้ โดยนำเงินได้เท่าที่จ่ายจริงในกองทุนรวม RMF หรือกองทุนรวม LTF ไปลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี หลายๆ คนอาจจะทราบรายละเอียดเงื่อนไขในการลงทุนผ่านกองทุนรวมทั้งสองไปบ้างแล้ว นั่นคือ
กองทุนรวม RMF : ผู้ลงทุนจะต้องมีปีการลงทุนต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 5 ปี และจะไถ่ถอนได้เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ โดยสามารถลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่เมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการแล้วต้องไม่เกิน 300,000 บาท และต้องมีการลงทุนขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 3% ของเงินได้พึงประเมินหรือ 5,000 บาท แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า ทั้งนี้ หากปีใดที่ผู้ลงทุนไม่สะดวกที่จะลงทุน อาจระงับการลงทุนไว้ได้ 1 ปี แต่ห้ามหยุดเป็นเวลา 2 ปี ติดต่อกัน หากปฏิบัติผิดไปจากที่ว่านี้ถือว่าผิดเงื่อนไขในการลงทุน ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับลดหย่อนมากลับให้แก่กรมสรรพากรนับย้อนหลังไป 5 ปี และอาจต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแล้วแต่กรณี หากไม่คืนเงินลดหย่อนภาษีดังกล่าวภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่มีการปฏิบัติผิดเงื่อนไข รวมถึงถ้ามีกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนที่มิได้เป็นไปตามเงื่อนไขของการลงทุนที่กรมสรรพากรกำหนดข้างต้น จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ของเงินกำไรที่ได้รับ และต้องนำเงินกำไรนั้นไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีตอนปลายปีอีกด้วย
ส่วนกองทุนรวม LTF : เป็นกองทุนที่ไม่บังคับให้มีการลงทุนต่อเนื่องเหมือนกองทุนรวม RMF เพียงแต่เมื่อซื้อหน่วยลงทุนไว้แล้วให้ถือไว้ให้ครบ 5 ปีปฏิทิน ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องไม่เกิน 300,000 บาท โดยไม่ต้องนำไปนับรวมเข้ากับกองทุนใดๆ ทั้งนี้หากผู้ลงทุนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการถือครองหน่วยลงทุนตามที่กล่าวไว้ ก็ถือว่าผิดเงื่อนไข ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับลดหย่อนไว้คืนกลับแก่กรมสรรพากร นับย้อนหลังไป 5 ปี พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแล้วแต่กรณี และถ้ามีกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ของเงินกำไรที่ได้รับ และมีหน้าที่ต้องนำเงินกำไรนั้นไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีตอนปลายปีด้วยเช่นกัน
เมื่อทราบเงื่อนไขการลงทุนแล้ว ทีนี้เรามาดูถึงจังหวะและเวลาในการเข้าซื้อกัน ที่ผ่านๆ มา มักจะได้ยินผู้ลงทุนหลายๆท่านถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดว่าเมื่อไหร่ หรือเวลาใดที่เหมาะสมควรจะเข้าซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวม LTF หรือกองทุนรวม RMF ที่เป็นกองหุ้นดี ซึ่งบางคนก็บอกว่าน่าจะซื้อตอนต้นปี เพราะถ้าหากปลายปีหุ้นขึ้นจะได้มีกำไร บางคนก็บอกว่าถ้าซื้อตอนกลางปีน่าจะดีกว่าเพราะช่วงนี้ทิศทางของหุ้นกำลังปรับฐานแต่บางคนก็มีความเห็นว่าควรจะไปซื้อตอนปลายปีไปเลย เพราะที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตอนปลายปีหุ้นมักจะปรับตัวลดลง และมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตอนต้นปี เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีการถกเถียงกันเรื่องเวลาหรือจังหวะที่จะซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวม LTF และ RMF ที่เป็นกองหุ้น
สำหรับคำถามที่ว่าความคิดของใครถูกหรือผิด คำตอบก็คือ ไม่มีใครถูกหรือผิด ทุกคนล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ซึ่งมีทั้งความเป็นไปได้และไม่ได้ เพราะในตลาดทุนไม่มีใครที่สามารถคาดคะเนสิ่งเหล่านี้ได้แม่นยำครับ เมื่อไม่มีใครทราบว่า ณ เวลาใด ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะขึ้นสูงสุดหรือต่ำสุด ฉะนั้นแนวทางหลักๆ ที่ผู้ลงทุนจะเลือกปฏิบัติได้ คือ
1. หากคำนึงถึงต้นทุนในการซื้อ เราก็สามารถเลือกใช้วิธีซื้อหลายครั้งในปีหนึ่งๆ เพื่อเฉลี่ยต้นทุนหรือจะซื้ออย่างสม่ำเสมอทุกเดือนเลยก็ได้ จะซื้อครั้งละหรือเดือนละเท่าไหร่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้ลงทุน แต่น่าจะซื้อสะสมไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่เกิดขึ้นจริงจนถึงขณะนั้น (สิ้นปีจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดในการคำนวณวงเงินที่สามารถซื้อได้สูงสุด ตามเงื่อนไขการลงทุน) วิธีนี้ก็จะเหมาะกับผู้ลงทุนที่มีรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอนหรือสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะลงทุนได้ระหว่างปีหรือในแต่ละเดือน
2. สำหรับผู้ลงทุนที่มีรายได้ไม่แน่นอน ไม่สามารถคำนวณเงินได้ทั้งปีได้ หรือผู้ที่ตั้งใจไว้ว่าจะใช้เงินโบนัสที่จะได้ตอนปลายปีไปซื้อหน่วยลงทุน เพื่อลดหย่อนภาษี เหล่านี้คงไม่สามารถทำอย่างวิธีแรกได้ น่าจะไปลงทุนซื้อเมื่อมีรายได้เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น และปรับยอดลงทุนอีกครั้งตอนปลายปีนะครับ
จะเห็นได้ว่าการจะลงทุนในกองทุนรวม LTF หรือกองทุนรวม RMF ที่เป็นกองหุ้นในช่วงจังหวะใดนั้น ไม่ได้อยู่ที่การคาดการณ์แนวโน้มของดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียวเสมอไป แต่น่าจะพิจารณาจากวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายในการลงทุนของตัวผู้ลงทุนเอง ตลอดจนความพร้อมในเรื่องของการเงิน เป็นอันดับแรกๆ
สิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนไม่ว่าจะลงทุนในกองทุนรวม RMF หรือ กองทุนรวม LTF หรือการลงทุนใดก็ตาม คือ เราจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการลงทุนให้ชัดเจน ตลอดจนควรจะศึกษาและเรียนรู้ในสิ่งที่จะลงทุนให้ถ่องแท้เสียก่อน เพื่อตัดสินใจลงทุน เมื่อลงทุนไปแล้วก็ยังมีหน้าที่ต้องคอยติดตาม วิเคราะห์การลงทุนว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือไม่ ถ้าไม่ก็ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของเราต่อไปครับ
อย่างไรก็ตามนะครับ การลงทุนในกองทุนถือว่ามีความเสี่ยงมากพอสมควร ฉะนั้นผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนครับ สำหรับท่านผู้อ่านมีข้อสงสัยสามารถส่งคำถามเข้ามาได้ที่ fuund@manager.co.th หรือโพสต์คำถามหรือข้อคิดเห็นไว้ที่ www.manager.co.th หน้ากองทุนรวมนะครับทางเราจะหาคำตอบมาตอบให้ท่านผู้อ่านอย่างเเน่นอนครับ
ตอบ - เจ้าหน้าที่จากสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนได้ตอบคำถามไว้ดังนี้ครับ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) คู่แฝดสำคัญที่เป็นขวัญใจสำหรับผู้มีรายได้หลายๆคน และเข้าอกเข้าใจความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นเป็นอย่างดี เพราะกองทุนรวมทั้งสองกองนี้สามารถช่วยแบ่งเบาภาระภาษีที่หนักๆให้เป็นเบาได้ โดยนำเงินได้เท่าที่จ่ายจริงในกองทุนรวม RMF หรือกองทุนรวม LTF ไปลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี หลายๆ คนอาจจะทราบรายละเอียดเงื่อนไขในการลงทุนผ่านกองทุนรวมทั้งสองไปบ้างแล้ว นั่นคือ
กองทุนรวม RMF : ผู้ลงทุนจะต้องมีปีการลงทุนต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 5 ปี และจะไถ่ถอนได้เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ โดยสามารถลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่เมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการแล้วต้องไม่เกิน 300,000 บาท และต้องมีการลงทุนขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 3% ของเงินได้พึงประเมินหรือ 5,000 บาท แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า ทั้งนี้ หากปีใดที่ผู้ลงทุนไม่สะดวกที่จะลงทุน อาจระงับการลงทุนไว้ได้ 1 ปี แต่ห้ามหยุดเป็นเวลา 2 ปี ติดต่อกัน หากปฏิบัติผิดไปจากที่ว่านี้ถือว่าผิดเงื่อนไขในการลงทุน ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับลดหย่อนมากลับให้แก่กรมสรรพากรนับย้อนหลังไป 5 ปี และอาจต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแล้วแต่กรณี หากไม่คืนเงินลดหย่อนภาษีดังกล่าวภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่มีการปฏิบัติผิดเงื่อนไข รวมถึงถ้ามีกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนที่มิได้เป็นไปตามเงื่อนไขของการลงทุนที่กรมสรรพากรกำหนดข้างต้น จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ของเงินกำไรที่ได้รับ และต้องนำเงินกำไรนั้นไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีตอนปลายปีอีกด้วย
ส่วนกองทุนรวม LTF : เป็นกองทุนที่ไม่บังคับให้มีการลงทุนต่อเนื่องเหมือนกองทุนรวม RMF เพียงแต่เมื่อซื้อหน่วยลงทุนไว้แล้วให้ถือไว้ให้ครบ 5 ปีปฏิทิน ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องไม่เกิน 300,000 บาท โดยไม่ต้องนำไปนับรวมเข้ากับกองทุนใดๆ ทั้งนี้หากผู้ลงทุนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการถือครองหน่วยลงทุนตามที่กล่าวไว้ ก็ถือว่าผิดเงื่อนไข ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับลดหย่อนไว้คืนกลับแก่กรมสรรพากร นับย้อนหลังไป 5 ปี พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแล้วแต่กรณี และถ้ามีกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ของเงินกำไรที่ได้รับ และมีหน้าที่ต้องนำเงินกำไรนั้นไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีตอนปลายปีด้วยเช่นกัน
เมื่อทราบเงื่อนไขการลงทุนแล้ว ทีนี้เรามาดูถึงจังหวะและเวลาในการเข้าซื้อกัน ที่ผ่านๆ มา มักจะได้ยินผู้ลงทุนหลายๆท่านถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดว่าเมื่อไหร่ หรือเวลาใดที่เหมาะสมควรจะเข้าซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวม LTF หรือกองทุนรวม RMF ที่เป็นกองหุ้นดี ซึ่งบางคนก็บอกว่าน่าจะซื้อตอนต้นปี เพราะถ้าหากปลายปีหุ้นขึ้นจะได้มีกำไร บางคนก็บอกว่าถ้าซื้อตอนกลางปีน่าจะดีกว่าเพราะช่วงนี้ทิศทางของหุ้นกำลังปรับฐานแต่บางคนก็มีความเห็นว่าควรจะไปซื้อตอนปลายปีไปเลย เพราะที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตอนปลายปีหุ้นมักจะปรับตัวลดลง และมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตอนต้นปี เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีการถกเถียงกันเรื่องเวลาหรือจังหวะที่จะซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวม LTF และ RMF ที่เป็นกองหุ้น
สำหรับคำถามที่ว่าความคิดของใครถูกหรือผิด คำตอบก็คือ ไม่มีใครถูกหรือผิด ทุกคนล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ซึ่งมีทั้งความเป็นไปได้และไม่ได้ เพราะในตลาดทุนไม่มีใครที่สามารถคาดคะเนสิ่งเหล่านี้ได้แม่นยำครับ เมื่อไม่มีใครทราบว่า ณ เวลาใด ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะขึ้นสูงสุดหรือต่ำสุด ฉะนั้นแนวทางหลักๆ ที่ผู้ลงทุนจะเลือกปฏิบัติได้ คือ
1. หากคำนึงถึงต้นทุนในการซื้อ เราก็สามารถเลือกใช้วิธีซื้อหลายครั้งในปีหนึ่งๆ เพื่อเฉลี่ยต้นทุนหรือจะซื้ออย่างสม่ำเสมอทุกเดือนเลยก็ได้ จะซื้อครั้งละหรือเดือนละเท่าไหร่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้ลงทุน แต่น่าจะซื้อสะสมไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่เกิดขึ้นจริงจนถึงขณะนั้น (สิ้นปีจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดในการคำนวณวงเงินที่สามารถซื้อได้สูงสุด ตามเงื่อนไขการลงทุน) วิธีนี้ก็จะเหมาะกับผู้ลงทุนที่มีรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอนหรือสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะลงทุนได้ระหว่างปีหรือในแต่ละเดือน
2. สำหรับผู้ลงทุนที่มีรายได้ไม่แน่นอน ไม่สามารถคำนวณเงินได้ทั้งปีได้ หรือผู้ที่ตั้งใจไว้ว่าจะใช้เงินโบนัสที่จะได้ตอนปลายปีไปซื้อหน่วยลงทุน เพื่อลดหย่อนภาษี เหล่านี้คงไม่สามารถทำอย่างวิธีแรกได้ น่าจะไปลงทุนซื้อเมื่อมีรายได้เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น และปรับยอดลงทุนอีกครั้งตอนปลายปีนะครับ
จะเห็นได้ว่าการจะลงทุนในกองทุนรวม LTF หรือกองทุนรวม RMF ที่เป็นกองหุ้นในช่วงจังหวะใดนั้น ไม่ได้อยู่ที่การคาดการณ์แนวโน้มของดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียวเสมอไป แต่น่าจะพิจารณาจากวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายในการลงทุนของตัวผู้ลงทุนเอง ตลอดจนความพร้อมในเรื่องของการเงิน เป็นอันดับแรกๆ
สิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนไม่ว่าจะลงทุนในกองทุนรวม RMF หรือ กองทุนรวม LTF หรือการลงทุนใดก็ตาม คือ เราจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการลงทุนให้ชัดเจน ตลอดจนควรจะศึกษาและเรียนรู้ในสิ่งที่จะลงทุนให้ถ่องแท้เสียก่อน เพื่อตัดสินใจลงทุน เมื่อลงทุนไปแล้วก็ยังมีหน้าที่ต้องคอยติดตาม วิเคราะห์การลงทุนว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือไม่ ถ้าไม่ก็ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของเราต่อไปครับ
อย่างไรก็ตามนะครับ การลงทุนในกองทุนถือว่ามีความเสี่ยงมากพอสมควร ฉะนั้นผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนครับ สำหรับท่านผู้อ่านมีข้อสงสัยสามารถส่งคำถามเข้ามาได้ที่ fuund@manager.co.th หรือโพสต์คำถามหรือข้อคิดเห็นไว้ที่ www.manager.co.th หน้ากองทุนรวมนะครับทางเราจะหาคำตอบมาตอบให้ท่านผู้อ่านอย่างเเน่นอนครับ