บลจ.บัวหลวงยอมรับแผนขยายสินทรัพย์ทั้งปีพลาดเป้า 7% แต่ยังมั่นใจ กำไรสูงกว่าเป้าหมาย เดินหน้ารุกกองทุน "อาร์เอ็มเอฟ-แอลทีเอฟ-ธนทวี" ช่วงปลายปี้ หวังระดมเงินเฮือกสุดท้าย ล่าสุด โชว์ผลงาน "บัวหลวงหุ้นระยะยาว" คว้าแชมป์อันดับ 1 ด้วยผลตอบแทน -7.82% ชนะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ที่ติดลบ 30.61%
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ทั้งปีนี้ในส่วนของแผนการขยายการตลาดของบริษัทนั้น คาดว่าจะไม่เป็นไปตามเป้า โดยขนาดกองทุนภายใต้การบริหาร ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อยประมาณ 7% แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรายได้จากกำไรนั้น จะสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน
ในขณะที่ผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วงที่ผ่านมา เราเองสามารถบริหารผลตอบแทนได้ดีกว่าอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ย ทั้งเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนระยะสั้นและระยะยาว โดยในส่วนของกองทุนตราสารหนี้เอง ถึงแม้จะให้ผลตอบแทนไม่สูงมากนัก แต่ก็ไม่ประสบปัญหาการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีปัญหาผิดนัดชำระหนี้
"เราสามารถบริหารกองทุนได้ดีกว่าผลการบริหารของอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ย และดีกว่าเบนมาร์กของกองทุน ตรงตามเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาวของเรา และในการลงทุนตราสารหนี้เราอาจไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่สูงมาก แต่เราก็ยังไม่มีกองทุนไหนที่เจอตราสารหนี้ที่มีปัญหาจนจ่ายเงินคืนไม่ได้สักกองเดียว" นางวรวรรณ กล่าว
นางวรวรรณกล่าวว่า สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะเน้นนำเสนอกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) นอกจากนี้ ยังรวมถึงกองทุนรวมบัวหลวงธนทวีด้วย เนื่องจากว่ากองทุนดังกล่าวมีความเสี่ยงต่ำ และสามารถทำการซื้อขายได้เป็นรายวัน อีกทั้งที่ผ่านมากองทุนยังสามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากธนาคาร
ทั้งนี้ สำหรับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ถ้าดูผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี แน่นอนว่ากองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่ดี เนื่องจากเป็นกองทุนหุ้นที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไม่มากนัก ซึ่งต้องเป็นไปตามนโยบายที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนด และกองทุนดังกล่าวยังมีอนุพันธ์เข้ามาช่วยด้วย ทำให้ความเสี่ยงจึงมีไม่มาก นอกจากนี้ถ้ามองย้อนหลังไปช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงทั้งขาขึ้นและขาลง ทำให้ผู้จัดการกองทุนมีการแข่งขันและวัดฝีมือการบริหารกองทุนดังกล่าวได้เป็นอย่างดีด้วย
นางวรวรรณ กล่าวต่อว่า สำหรับกองทุนรวมอาร์เอ็มเอฟและกองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่บริษัทบริหารอยู่นั้นมีอยู่ด้วยกัน 8 กองทุนประกอบด้วย 1.กองทุนเปิดบัวหลวงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเลี้ยงชีพ (IN-RMF) 2. กองทุนเปิดบัวหลวงตราสารทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (BERMF) 3. กองทุนเปิดบัวหลวงเฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยง (BFLRMF) 4. กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้น25%เพื่อการเลี้ยงชีพ (B25RMF) 5. กองทุนเปิดบัวหลวงตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (BFRMF) 6.กองทุนบัวหลวงมันนี่มาร์เก็ตเพื่อการเลี้ยงชีพ (MM-RMF) 7. กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว (B-LTF) และ 8. กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว 75/25 (B-LTF75)
ทั้งนี้ จากรายงานของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (สมาคม บลจ.) ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2551 พบว่า กองทุนบัวหลวงหุ้นระยะยาว (B-LTF) มีผลการดำเนินงานมาเป็นอันดับ 1 โดยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -7.82% ขณะที่ SET Total Return Index (คิดเรื่องเงินปันผลของหุ้น) ลดลง 30.61% นอกจากนี้ ถ้าดูกองทุนรวมอาร์เอ็มเอฟ ก็ถือว่าเป็นกองทุนที่เหมาะสมกับการเก็บเงินพื่อเกษียณอายุด้วย และถ้านักลงทุนสามารถเข้ามาลงทุนในช่วงระยะยาว 3 ปี และ 5 ปี ซึ่งกองทุนบัวหลวงตราสารทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ ให้ผลตอบแทน 3 ปีอยู่ที่ -9.45% ในขณะที่ SET TRI ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 30.61% และผลตอบแทน 5 ปี ได้ถึง 24%ในขณะที่ SET TRI ให้ผลตอบแทนติดลบอยู่ที่ 22.79%
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ทั้งปีนี้ในส่วนของแผนการขยายการตลาดของบริษัทนั้น คาดว่าจะไม่เป็นไปตามเป้า โดยขนาดกองทุนภายใต้การบริหาร ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อยประมาณ 7% แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรายได้จากกำไรนั้น จะสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน
ในขณะที่ผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วงที่ผ่านมา เราเองสามารถบริหารผลตอบแทนได้ดีกว่าอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ย ทั้งเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนระยะสั้นและระยะยาว โดยในส่วนของกองทุนตราสารหนี้เอง ถึงแม้จะให้ผลตอบแทนไม่สูงมากนัก แต่ก็ไม่ประสบปัญหาการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีปัญหาผิดนัดชำระหนี้
"เราสามารถบริหารกองทุนได้ดีกว่าผลการบริหารของอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ย และดีกว่าเบนมาร์กของกองทุน ตรงตามเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาวของเรา และในการลงทุนตราสารหนี้เราอาจไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่สูงมาก แต่เราก็ยังไม่มีกองทุนไหนที่เจอตราสารหนี้ที่มีปัญหาจนจ่ายเงินคืนไม่ได้สักกองเดียว" นางวรวรรณ กล่าว
นางวรวรรณกล่าวว่า สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะเน้นนำเสนอกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) นอกจากนี้ ยังรวมถึงกองทุนรวมบัวหลวงธนทวีด้วย เนื่องจากว่ากองทุนดังกล่าวมีความเสี่ยงต่ำ และสามารถทำการซื้อขายได้เป็นรายวัน อีกทั้งที่ผ่านมากองทุนยังสามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากธนาคาร
ทั้งนี้ สำหรับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ถ้าดูผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี แน่นอนว่ากองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่ดี เนื่องจากเป็นกองทุนหุ้นที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไม่มากนัก ซึ่งต้องเป็นไปตามนโยบายที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนด และกองทุนดังกล่าวยังมีอนุพันธ์เข้ามาช่วยด้วย ทำให้ความเสี่ยงจึงมีไม่มาก นอกจากนี้ถ้ามองย้อนหลังไปช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงทั้งขาขึ้นและขาลง ทำให้ผู้จัดการกองทุนมีการแข่งขันและวัดฝีมือการบริหารกองทุนดังกล่าวได้เป็นอย่างดีด้วย
นางวรวรรณ กล่าวต่อว่า สำหรับกองทุนรวมอาร์เอ็มเอฟและกองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่บริษัทบริหารอยู่นั้นมีอยู่ด้วยกัน 8 กองทุนประกอบด้วย 1.กองทุนเปิดบัวหลวงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเลี้ยงชีพ (IN-RMF) 2. กองทุนเปิดบัวหลวงตราสารทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (BERMF) 3. กองทุนเปิดบัวหลวงเฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยง (BFLRMF) 4. กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้น25%เพื่อการเลี้ยงชีพ (B25RMF) 5. กองทุนเปิดบัวหลวงตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (BFRMF) 6.กองทุนบัวหลวงมันนี่มาร์เก็ตเพื่อการเลี้ยงชีพ (MM-RMF) 7. กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว (B-LTF) และ 8. กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว 75/25 (B-LTF75)
ทั้งนี้ จากรายงานของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (สมาคม บลจ.) ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2551 พบว่า กองทุนบัวหลวงหุ้นระยะยาว (B-LTF) มีผลการดำเนินงานมาเป็นอันดับ 1 โดยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -7.82% ขณะที่ SET Total Return Index (คิดเรื่องเงินปันผลของหุ้น) ลดลง 30.61% นอกจากนี้ ถ้าดูกองทุนรวมอาร์เอ็มเอฟ ก็ถือว่าเป็นกองทุนที่เหมาะสมกับการเก็บเงินพื่อเกษียณอายุด้วย และถ้านักลงทุนสามารถเข้ามาลงทุนในช่วงระยะยาว 3 ปี และ 5 ปี ซึ่งกองทุนบัวหลวงตราสารทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ ให้ผลตอบแทน 3 ปีอยู่ที่ -9.45% ในขณะที่ SET TRI ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 30.61% และผลตอบแทน 5 ปี ได้ถึง 24%ในขณะที่ SET TRI ให้ผลตอบแทนติดลบอยู่ที่ 22.79%