บลจ.ทิสโก้ปรับลุคกองมันนี่มาร์เก็ต ใช้ชื่อใหม่”กองพันธบัตรระยะสั้น” เน้นตราสารภาครัฐอายุไม่เกิน 6 เดือน หวังเพิ่มภาพลักษณ์ด้านความมั่นคงแก่นักลงทุน ระบุการออกกองทุนใหม่จะต้องเป็นไปตามสถานการณ์ และความต้องการของนักลงทุน ส่วนกองตราสารหนี้จะล็อกอายุยาวขึ้น หลังคาดอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลงต่อไป
นางสาวธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์ หัวหน้าการตลาดธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการเปลี่ยนชื่อ กองทุนทิสโก้ บริหารเงินเป็น “กองทุนเปิด ทิสโก้ พันธบัตรระยะสั้น”ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมานั้น เนื่องจากต้องการสร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุน
ทั้งนี้ นอกจากการเปลี่ยนชื่อกองทุนแล้ว บริษัทยังได้ทำการเปลี่ยนนโยบายการลงทุนของกองทุนดังกล่าวด้วย ซึ่งกองทุนนี้จะเน้นลงทุนในพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลที่มีอายุเฉลี่ยในแต่ละรอบบัญชีไม่เกิน 6 เดือนเป็นหลัก
“นอกจากเปลี่ยนชื่อแล้ว ยังมีการลดดูเรชั่นของตราสารที่ถือด้วย แต่จริงๆแล้วกองนี้ลงตราสารหนี้ภาครัฐมานานแล้ว แต่ที่ต้องเปลี่ยนเพราะที่ผ่านมานโยบายมันเปิดกว้าง ทำให้นักลงทุนมีความกังวลเรื่องของเครดิต โดยเราอยากจะทำให้มีความชัดเจนมากขึ้นเพื่อไม่ให้ลูกค้ากังวล”นางสาวธีรินทร์กล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เปลี่ยนชื่อและนโยบายของกองทุนนี้แล้ว ทางบริษัทยังมีแผนที่จะออกกองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนเพิ่มเติมเช่นกัน โดยอาจจะเป็นกองทุนที่ซื้อขายได้ทุกวัน หรือกองทุนที่ล็อกช่วงระยะเวลาการขายเอาไว้ก็ได้
นางสาวธีรินทร์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ออกกองทุนซีรียส์ "ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส" เนื่องจากมองว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาลงหลังจากนี้ ทำให้การล็อกระยะเวลาตราสารหนี้ให้ยาวขึ้นเป็นผลดีต่อนักลงทุน
“ที่เราออกกองนี้เพราะเรามองอัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งก็น่าจะล็อกระยะเวลาให้ยาวหน่อย และตอนที่เราออกตอนนั้น แบงก์ชาติยังไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยด้วยซ้ำ โดยน่าจะเป็นผลดีต่อนักลงทุน”นางสาวธีรินทร์กล่าว
สำหรับกองทุประเภทนี้จะมีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเอกชนที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง อายุโครงการประมาณ 2 ปี แต่จ่ายผลตอบแทนสม่ำเสมอทุกๆ เวลาประมาณ 6 เดือน (Auto Redemption) เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่มองหาทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงว่าเงินฝากธนาคาร
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า กองทุนตราสารหนี้ในปีหน้าคงจะต้องประเมินตามสถานการณ์อีกครั้งว่าจะมีอายุเท่าไร หรือเป็นลักษณะไหน ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้พิจารณาว่าแบไหนที่จะเหมาะสมกับนักลงทุน อย่างไรก็ตาม นอกจากกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้นบริษัทก็ให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ จากการที่ภาวะเศรษฐกิจผันผวนนั้น เชื่อว่ากองทุนหุ้นคงจะได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากนักลงทุนจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ในส่วนที่มองว่ามีความผันผวนและชะลอการลงทุน แต่อีกจำนวนหนึ่งจะมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน เนื่องจากราคาที่ต่ำลง โดยหากเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ เชื่อว่าการลงทุนในขณะนี้น่าจะดี เพราะราคาถูกลงมามากกว่าปกติ
“กองทุนอื่นหลังจากนี้คงจะต้องดูก่อน ส่วนกองทุนต่างประเทศนั้นกองเก่าที่มีอยู่แล้วน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีได้ และถ้าเป็นการเปิดกองใหม่เลยมันก็ต้องเป็นไปตามสถานการณ์ ซึ่งหากมองไชน่าอินเดียตอนนี้ก็ยังดี เพราะจีนเองหากมองว่าจีดีพีจะขยายตัวลดลง แต่เชื่อว่าก็น่าจะยังอยู่ในระดับสูงอยู่ดี”นางสาวธีรินทร์กล่าว
นางสาวธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์ หัวหน้าการตลาดธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการเปลี่ยนชื่อ กองทุนทิสโก้ บริหารเงินเป็น “กองทุนเปิด ทิสโก้ พันธบัตรระยะสั้น”ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมานั้น เนื่องจากต้องการสร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุน
ทั้งนี้ นอกจากการเปลี่ยนชื่อกองทุนแล้ว บริษัทยังได้ทำการเปลี่ยนนโยบายการลงทุนของกองทุนดังกล่าวด้วย ซึ่งกองทุนนี้จะเน้นลงทุนในพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลที่มีอายุเฉลี่ยในแต่ละรอบบัญชีไม่เกิน 6 เดือนเป็นหลัก
“นอกจากเปลี่ยนชื่อแล้ว ยังมีการลดดูเรชั่นของตราสารที่ถือด้วย แต่จริงๆแล้วกองนี้ลงตราสารหนี้ภาครัฐมานานแล้ว แต่ที่ต้องเปลี่ยนเพราะที่ผ่านมานโยบายมันเปิดกว้าง ทำให้นักลงทุนมีความกังวลเรื่องของเครดิต โดยเราอยากจะทำให้มีความชัดเจนมากขึ้นเพื่อไม่ให้ลูกค้ากังวล”นางสาวธีรินทร์กล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เปลี่ยนชื่อและนโยบายของกองทุนนี้แล้ว ทางบริษัทยังมีแผนที่จะออกกองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนเพิ่มเติมเช่นกัน โดยอาจจะเป็นกองทุนที่ซื้อขายได้ทุกวัน หรือกองทุนที่ล็อกช่วงระยะเวลาการขายเอาไว้ก็ได้
นางสาวธีรินทร์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ออกกองทุนซีรียส์ "ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส" เนื่องจากมองว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาลงหลังจากนี้ ทำให้การล็อกระยะเวลาตราสารหนี้ให้ยาวขึ้นเป็นผลดีต่อนักลงทุน
“ที่เราออกกองนี้เพราะเรามองอัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งก็น่าจะล็อกระยะเวลาให้ยาวหน่อย และตอนที่เราออกตอนนั้น แบงก์ชาติยังไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยด้วยซ้ำ โดยน่าจะเป็นผลดีต่อนักลงทุน”นางสาวธีรินทร์กล่าว
สำหรับกองทุประเภทนี้จะมีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเอกชนที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง อายุโครงการประมาณ 2 ปี แต่จ่ายผลตอบแทนสม่ำเสมอทุกๆ เวลาประมาณ 6 เดือน (Auto Redemption) เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่มองหาทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงว่าเงินฝากธนาคาร
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า กองทุนตราสารหนี้ในปีหน้าคงจะต้องประเมินตามสถานการณ์อีกครั้งว่าจะมีอายุเท่าไร หรือเป็นลักษณะไหน ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้พิจารณาว่าแบไหนที่จะเหมาะสมกับนักลงทุน อย่างไรก็ตาม นอกจากกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้นบริษัทก็ให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ จากการที่ภาวะเศรษฐกิจผันผวนนั้น เชื่อว่ากองทุนหุ้นคงจะได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากนักลงทุนจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ในส่วนที่มองว่ามีความผันผวนและชะลอการลงทุน แต่อีกจำนวนหนึ่งจะมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน เนื่องจากราคาที่ต่ำลง โดยหากเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ เชื่อว่าการลงทุนในขณะนี้น่าจะดี เพราะราคาถูกลงมามากกว่าปกติ
“กองทุนอื่นหลังจากนี้คงจะต้องดูก่อน ส่วนกองทุนต่างประเทศนั้นกองเก่าที่มีอยู่แล้วน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีได้ และถ้าเป็นการเปิดกองใหม่เลยมันก็ต้องเป็นไปตามสถานการณ์ ซึ่งหากมองไชน่าอินเดียตอนนี้ก็ยังดี เพราะจีนเองหากมองว่าจีดีพีจะขยายตัวลดลง แต่เชื่อว่าก็น่าจะยังอยู่ในระดับสูงอยู่ดี”นางสาวธีรินทร์กล่าว
