พรีมาเวสท์แจงแยกตราสาร TSFC ออกจากกอง KPM กระทบเอ็นเอวีวูบเล็กน้อย แต่เชื่อนักลงทุนจะได้รับเงินเต็มตามจำนวนในอนาคต เพราะเป็นเพียงการลดอันดับ ไม่ใช่การผิดนัดชำระหนี้ พร้อมเผยนักลงทุนเริ่มทยอยกับลงเข้าลงทุนมากขึ้น หลังทำการแยกตราสารดังกล่าวออกไป
นางสาวศรีเนตร ฤทธิรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม พรีมาเวสท์ จำกัด บริษัทฯ ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่ตราสาร TSFC ได้ถูกลดอันดับเรตติ้งต่ำกว่าอันดับที่น่าลงทุน (Investment Grade) ซึ่ง ก.ล.ต.และสมาคมบริษัทจัดการลงทุนให้กองทุนแยกตราสาร TSFC ออกจากพอร์ตการลงทุนไว้ต่างหาก (Set Aside) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อนักลงทุนนั้น บริษัทได้ทำการ Set Aside เสร็จสิ้นแล้วเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผลจากการแยกตราสารของ TSFC ออกจากกองทุนส่งผลให้มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์ มันนี่ (KPM) ลดลงหนึ่งวัน เนื่องจากการ Set Aside ครั้งนี้เกิดจาก TSFC ถูกลดอันดับเครดิต แต่มิได้เกิดจากการผิดนัดชำระหนี้ โดยเมื่อตราสารของ TSFC ครบอายุและกองทุนได้รับเงินคืน บริษัทฯ ก็จะดำเนินการจ่ายเงินคืนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนต่อไป
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนตั้งแต่ วันที่ 1 ธันวาคม 2551 จะไม่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนหลายรายทยอยกลับเข้ามาลงทุนในกองทุน KPM แล้วอย่างต่อเนื่อง
“จะเห็นได้ว่าตอนนี้ NAV ของกองทุน KPM มีการปรับเพิ่มขึ้นแล้ว จากวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่ทำการ Set Aside โดย NAV ณ วันที่ 2 ธันวาคม ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.0782 บาท/หน่วย ซึ่งปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของกองทุน KPM เมื่อแยกตราสารของ TSFC ออกไปแล้ว ในพอร์ตยังมีการลงทุนในตราสารภาครัฐและตราสารที่ออกโดยสถาบันการเงินที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ นักลงทุนจึงสามารถมั่นใจได้"นางสาวศรีเนตรกล่าว
อนึ่ง บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC) ได้ถูกประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) จากบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด ลง 4 อันดับ จาก “A” เป็น “BBB-” โดยให้เหตุผลว่าเงินกองทุนของ TSFC เมื่อคำนวณมูลค่าตามราคาตลาดเสื่อมค่าลง เนื่องจากบริษัทขาดทุนจากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น และมีการกันสำรองหนี้สงสัยจะสูญของลูกหนี้ margin loan นั้น ทำให้นักลงทุนหลายคนเป็นกังวลพอสมควร ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ที่ผ่านมาตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดย TSFC ได้รับความสนใจจากนักลงทุนพอสมควร ซึ่งรวมถึงกองทุนรวมด้วย เนื่องจากตราสารดังกล่าวให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมบริษัทจัดการลงทุนได้จัดให้มีการหารือในกลุ่มบริษัทสมาชิก เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาความเกี่ยวเนื่องจากการที่กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนส่วนบุคคล ได้ลงทุนไว้ในตราสารหนี้ของ TSFC ได้ข้อสรุปตรงกันว่า อันดับความน่าเชื่อถือของ TSFC ยังคงอยู่ระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และตราสารที่เสนอขายโดย TSFC มีราคาที่สะท้อนกับข้อมูลและสถานะการดำเนินงานของ TSFC ที่อ้างอิงได้ตามราคาที่ประกาศโดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (Thai BMA) อยู่แล้ว
นอกจากนี้ การประกอบธุรกิจของ TSFC ก็มีลักษณะเฉพาะด้านการให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ลงทุนเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Loan) เพียงแห่งเดียวในประเทศไทยตามการสนับสนุนให้จัดตั้งองค์กรขึ้นมาของภาครัฐ โดย TSFC จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการระดมทุน (เงิน/หลักทรัพย์) ทั้งประเภทระยะสั้นและระยะยาว เพื่อนำมาให้ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์กู้ยืม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การดำเนินกิจการต่างๆ ทางด้านธุรกิจหลักทรัพย์เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ การจัดตั้งของ TSFC ได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นหลักที่สำคัญ ได้แก่ กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินอื่นๆ และเมื่อ TSFC ทำการเพิ่มทุนได้แล้ว สถานการณ์ก็น่าจะกลับมาสู่สภาวะปกติ อันดับเครดิตของบริษัทน่าจะได้รับการปรับขึ้นเพราะฐานเงินทุนจะเพิ่มขึ้น
นางสาวศรีเนตร ฤทธิรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม พรีมาเวสท์ จำกัด บริษัทฯ ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่ตราสาร TSFC ได้ถูกลดอันดับเรตติ้งต่ำกว่าอันดับที่น่าลงทุน (Investment Grade) ซึ่ง ก.ล.ต.และสมาคมบริษัทจัดการลงทุนให้กองทุนแยกตราสาร TSFC ออกจากพอร์ตการลงทุนไว้ต่างหาก (Set Aside) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อนักลงทุนนั้น บริษัทได้ทำการ Set Aside เสร็จสิ้นแล้วเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผลจากการแยกตราสารของ TSFC ออกจากกองทุนส่งผลให้มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์ มันนี่ (KPM) ลดลงหนึ่งวัน เนื่องจากการ Set Aside ครั้งนี้เกิดจาก TSFC ถูกลดอันดับเครดิต แต่มิได้เกิดจากการผิดนัดชำระหนี้ โดยเมื่อตราสารของ TSFC ครบอายุและกองทุนได้รับเงินคืน บริษัทฯ ก็จะดำเนินการจ่ายเงินคืนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนต่อไป
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนตั้งแต่ วันที่ 1 ธันวาคม 2551 จะไม่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนหลายรายทยอยกลับเข้ามาลงทุนในกองทุน KPM แล้วอย่างต่อเนื่อง
“จะเห็นได้ว่าตอนนี้ NAV ของกองทุน KPM มีการปรับเพิ่มขึ้นแล้ว จากวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่ทำการ Set Aside โดย NAV ณ วันที่ 2 ธันวาคม ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.0782 บาท/หน่วย ซึ่งปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของกองทุน KPM เมื่อแยกตราสารของ TSFC ออกไปแล้ว ในพอร์ตยังมีการลงทุนในตราสารภาครัฐและตราสารที่ออกโดยสถาบันการเงินที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ นักลงทุนจึงสามารถมั่นใจได้"นางสาวศรีเนตรกล่าว
อนึ่ง บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC) ได้ถูกประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) จากบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด ลง 4 อันดับ จาก “A” เป็น “BBB-” โดยให้เหตุผลว่าเงินกองทุนของ TSFC เมื่อคำนวณมูลค่าตามราคาตลาดเสื่อมค่าลง เนื่องจากบริษัทขาดทุนจากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น และมีการกันสำรองหนี้สงสัยจะสูญของลูกหนี้ margin loan นั้น ทำให้นักลงทุนหลายคนเป็นกังวลพอสมควร ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ที่ผ่านมาตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดย TSFC ได้รับความสนใจจากนักลงทุนพอสมควร ซึ่งรวมถึงกองทุนรวมด้วย เนื่องจากตราสารดังกล่าวให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมบริษัทจัดการลงทุนได้จัดให้มีการหารือในกลุ่มบริษัทสมาชิก เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาความเกี่ยวเนื่องจากการที่กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนส่วนบุคคล ได้ลงทุนไว้ในตราสารหนี้ของ TSFC ได้ข้อสรุปตรงกันว่า อันดับความน่าเชื่อถือของ TSFC ยังคงอยู่ระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และตราสารที่เสนอขายโดย TSFC มีราคาที่สะท้อนกับข้อมูลและสถานะการดำเนินงานของ TSFC ที่อ้างอิงได้ตามราคาที่ประกาศโดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (Thai BMA) อยู่แล้ว
นอกจากนี้ การประกอบธุรกิจของ TSFC ก็มีลักษณะเฉพาะด้านการให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ลงทุนเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Loan) เพียงแห่งเดียวในประเทศไทยตามการสนับสนุนให้จัดตั้งองค์กรขึ้นมาของภาครัฐ โดย TSFC จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการระดมทุน (เงิน/หลักทรัพย์) ทั้งประเภทระยะสั้นและระยะยาว เพื่อนำมาให้ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์กู้ยืม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การดำเนินกิจการต่างๆ ทางด้านธุรกิจหลักทรัพย์เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ การจัดตั้งของ TSFC ได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นหลักที่สำคัญ ได้แก่ กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินอื่นๆ และเมื่อ TSFC ทำการเพิ่มทุนได้แล้ว สถานการณ์ก็น่าจะกลับมาสู่สภาวะปกติ อันดับเครดิตของบริษัทน่าจะได้รับการปรับขึ้นเพราะฐานเงินทุนจะเพิ่มขึ้น