xs
xsm
sm
md
lg

ลงทุนตราสารหนี้ผสมหุ้น รับมือภาวะเศรษฐกิจถดถอย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เป็นที่ทราบกันในขณะนี้ว่า เศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีและไม่เอื้ออำนวยต่อในเรื่องของการลงทุนมากนัก ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ต่างประเทศทั่วโลกได้รับเหมือนๆกัน แม้ว่าหลายประเทศจะออกมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆนานา เพื่อเป็นการพยุงเศรษฐกิจของประเทศตัวเองอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าผลกระทบจากปัญหา กำลังโผล่ให้เห็นเพิ่มขึ้นพร้อมๆกับวิธีการต่างๆในการเข้าไปแก้ปัญหา

ผลกระทบประการหนึ่งที่เห็นได้เห็นกันแล้วคือ ภาคการส่งออก ที่เป็นผลทำให้ภาคธุรกิจต่างๆ เริ่มมีการลดกำลังการผลิตลง รวมถึงการปรับลดพนักงานภายในบริษัทลง เช่น บริษัทรถยนต์ทั่วโลก อาทิ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ หรือ จีเอ็ม ที่กำลังจะมีการยกเลิกผลิตรถยี่ห้อ แซทเทิร์น ซาบ ปอนเทียค และ ฮัมเมอร์ ขณะที่ บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ โค ของสหรัฐฯ ทำการปรับลดกำลังการผลิตรถยนต์ในยุโรปลงประมาณ 10% ในปีหน้า ส่วน บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ ญี่ปุ่น กำลังจะมีการปรับลดพนักงานลง 1,100 ตำแหน่ง และเลิกจ้างพนักงานประเภทชั่วคราวลง 1 ใน 3

ปัญหาดังกล่าวเป็นหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาจากปัญหาอื่นในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ในส่วนของประเทศไทยในช่วงที่เกิดวิกฤตนั้นประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในส่วนที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ผลกระทบที่จะตามมาในทางอ้อมนั้นก็ไม่เบาเท่าไรนัก เพราะอย่างที่ทราบกัน เศรษฐกิจหลักของไทยคือเรื่องของการส่งออก ซึ่งเมื่อประเทศผู้ค้าหลักไม่มีเงินที่จะซื้อสินค้าแล้วจะเกิดอะไรขึ้น และภาคการลงทุนล่ะ เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีการลงทุนที่เหมาะสมในยามนี้คือการลงทุนในแหล่งไหน

วันนี้ มีมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจจากผู้บริหารกองทุนรวมมาให้ให้ฟังกัน ชูเกียรติ ธิติหิรัญเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด บอกว่า เศรษฐกิจและการลงทุนในขณะนี้ไม่ดีนัก อย่างที่ทราบกันและมองกันว่าในปีข้างหน้าที่จะถึงนี้ เศรษฐกิจน่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ระดับตํ่ากว่า 3 % แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าปัจจัยหลักที่น่าจะมีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ คือ บทบาทของภาครัฐบาลควรที่จะข้ามามีส่วนช่วยในเรื่องนี้ให้มากยิ่งขึ้น กล่าวคือ การใช้จ่ายของภาครัฐที่จะต้องเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุนภายในประเทศ หรือการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่น่าจะส่งผลให้ จีดีพี ของประเทศในปีหน้าอยู่ในระดับที่มากกว่า 3% หรืออาจไม่เพิ่มขึ้นมากแต่น่าจะทำให้เศรษฐกิจไม่แย่ลงไปกว่านี้

ขณะเดียวกัน ยังต้องดูที่นโยบายของทางภาครัฐด้วยว่าจะเป็นอย่างไร นโยบายทางเศรษฐกิจที่ออกมาจะโดนใจนักลงทุนของไทยและต่างประเทศมากน้อยแค่ไหน แต่เชื่อว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะนี้ จีดีพี ของประเทศไม่น่าจะลดลงไปอยู่ในระดับติดลบ เพราะส่วนหนึ่งธนาคารกลางของประเทศต่างๆได้มีการพยายามที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยการลดดอกเบี้ยลง รวมถึงการอัดฉีดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ถือเป็นการพยายามทำให้เศรษฐกิจของตนเองไม่ยํ่าแย่ลงไปมากว่านี้ ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วยเช่นกันในแง่ของผลกระทบที่จะตามมา แต่เรื่องการลดดอกเบี้ยนั้นจะทำให้เศรษฐกิจเกิดการชะลอตัวลงมา ขณะเดียวกันหนี้สินของภาคสถาบันการเงินในต่างประเทศนั้นก็ได้มีการปรับลดหนี้สินลงทำให้การปล่อยกู้ทำได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่ภาคสถาบันการเงินจะต้องทำ แต่เมื่อมีการปล่อยกู้ได้ยากมากขึ้นแล้วทำให้กิดผลกระทบต่อการลงทุนมีที่ลดน้อยลง ดังนั้นแล้วภาครัฐควรที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน รวมถึงการสร้างความั่นใจในการลงทุนด้วย ซึ่งก็เป็นลักษณะเดียวกับประเทศไทยเช่นเดียวกัน

โดยในปีหน้าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบเศรษฐกิจทุกอย่างจะชะชอตัวลง รวมถึงมีการปลดพนักงานด้วย แต่บางบริษัทที่ทำการส่งออกในภูมิภาคเอเชียสามารถที่จะประคองตัวเองไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ คือในส่วนของภาคการส่งออกของไทย ที่กำลังจะได้รับผลกระทบเพราะประเทศผู้นำเข้าสินค้าจากประเทศไทยรายใหญ่อย่างสหรัฐฯและสภาพยุโรป ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจทำให้ต้องลดการนำเข้าลง ขณะนี้ บริษัทที่ทำการส่งออกของประเทศไทยกำลังได้รับผลกระทบเนื่องจากความต้องการสินค้าจากต่างประเทศลดน้อยลง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่จะต้องมาคิดกันว่าจะอย่างไรที่จะทำให้ จีดีพี ของประเทศไทยเป็นบวกเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นไม่มากก็ตาม

ตราสารหนี้แหล่งลงทุนหลัก
ทั้งนี้ เมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการลงทุนจะยังไม่มีความชัดเจนมากพอที่จะนำเงินเข้ามาลงทุนในขณะนี้ โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นที่ยังมีความเสี่ยงอยู่มากเหลือเกิน ผู้บริหาร บลจ. จึงได้กล่าวถึงเรื่องการลงทุนในแหล่งลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยและสามารถได้รับผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ นั่นคือการลงทุน ตราสารหนี้ โดย "ชูเกียรติ" บอกว่า หากนักลงทุนต้องการที่จะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ในขณะนี้ ก็มีตราสารหนี้ที่น่าสนใจ คือ พันธบัตรของรัฐบาล และตราสารหนี้ของบริษัทเอกชน ซึ่งตราสารหนี้ของภาครัฐนั้นไม่มีปัจจัยในเรื่องของความเสี่ยงมากนัก มีเพียงแค่ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าน่าปรับลดลงอย่างแน่นอน เพราะเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงอย่างต่อ แต่ในส่วนของตราสารหนี้ของภาคเอกชนนั้น ยังมีความน่าสนใจอยู่ แต่ตราสารหนี้ที่นักลงทุนจะเข้าไปลงทุนนั้น ควรเป็นตราสารหนี้ของบริษัทที่มีขนาดใหญ่ มีผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ดี และมีอันดับเรทติ้งอยู่ที่ระดับตั้งแต่ A- ขึ้นไป

ขณะเดียวกัน ยังแนะนำด้วยว่า ในพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนนั้นควรมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ให้มากขึ้น ทั้งตราสารหนี้ของรัฐบาลและของบริษัทเอกชน โดยตราสารหนี้ที่ลงทุนนั้นควรเป็นตราสารหนี้ที่มีทั้ง ระยะยั้นและระยะยาวประมาณ 1-2 ปีผสมกันไป ส่วนการลงทุนในหุ้นนั้นควรมีสัดส่วนของการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 20 -30 % ก็พอแล้ว ทั้งนี้โดยส่วนตัวแล้วมองว่ารัฐบาลควรที่จะออกตราสารหนี้ของรัฐบาลให้มากขึ้นเพราะอัตราดอกเบี้ยได้ปรับตัวลดลง

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน ยังได้พูดถึงการลงทุนในต่างประเทศด้วยว่า ตลาดหุ้นของต่างประเทศในขณะนี้ยังคาดการณ์ทิศทางได้ยาก แต่หากต้องการลงทุนในหุ้นต่างประเทศควรที่จะเข้าไปลงทุนในสัดส่วนที่ไม่มากนัก เพราะยังมีความเสี่ยงอยู่มาก และต้องให้เงินลงทุนส่วนใหญ่มาลงไว้ที่ตลาดหุ้นของภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก เพราะเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียในขณะนี้ไม่ได้เป็นศูนย์กลางของวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่ตลาดหุ้นของภูมิภาคในเอเชียนั้นได้แสดงผลของวิกฤตที่เกิดขึ้น นั้นคือ การที่นักลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและยุโรปพากันเทขายหุ้นทิ้งเพื่อดึงเงินลงทุนกลับไปที่ประเทศของตนเอง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วเอเชียรวมทั้งประเทศไทยปรับตัวลดลงมาอย่างมาก

คงเป็นที่ชัดเจนแล้วในตอนนี้ว่า "ตราสารหนี้" เป็นแหล่งลงทุนหลักที่นักลงทุนสามารถที่จะหอบเงินเข้ามาลงทุนกันได้อย่างมีความมั่นใจมากว่าการลงทุนในหุ้น ที่แม้ว่าในตอนนี้น่าที่จะทยอยเข้าไปช้อนซื้อได้เรื่อยๆ แต่นักลงทุนก็ยังไม่มีความมั่นใจอยู่มากพอ คงเป็นข้อมูลในระดับหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่กำลังติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและต้องการคำแนะนำที่ดีประกอบการลงทุนในยามนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น