"มีความเป็นไปได้ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2552 จะหลุด 300 จุด ซึ่งอาจจะต่ำถึง 200 จุด เเต่ทั้งนี้การที่ดัชนีหุ้นไทยจะลงต่ำถึง 200 จุดนั้นต้องมีเงื่อนไขสำคัญที่มีผลกระทบต่อตลาด เช่นปัญหาการเมือง รวมถึงถ้าเกิดข่าวร้ายเเละรุนเเรงจากต่างประเทศก็อาจจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นอีก"
ปี 2551 เป็นปีที่ทำให้ใครหลายคนตื่นตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นปัญหารการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ เเละปัญหาเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้ทุกประเทศ ทุกภูมิภาครวมถึงไทยเองไดรับผลกระทบเช่นกัน ส่วนในปี 2552 นี้หลายคนก็มองอีกว่าปัญหาที่คาดเกิดขึ้นในปี 2551 จะคลี่คลายไปในทางที่ดี เเต่เมื่อมาวิเคราะห์เเละหาเเหตุผลประกอบเเล้ว นักวิเคราะห์มองไปในทิศทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจปีหน้าเผาจริงเเน่นอน....กว่า เมื่อเป็นเช่นนี้มาดูกันว่าเเนวโน้มของภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย จะมีทิศทางไปอย่างใดกันบ้าง?
มล.ทองมกุฏ ทองใหญ่ ผู้บริหารฝ่ายค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ซิตี้ คอร์ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมโบรกเกอร์ต่างประเทศ เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นปี 2552 น่าจะยังผันผวนหนัก จากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่จะทวีความรุนแรงขึ้นและส่งผลเสียหายกับธุรกิจทุกภาคส่วน
"เราประเมินว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับระบบการเงินและตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในปี 2551 เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ซึ่งจากปัญหาสินเชื่อที่เข้าทำลายสภาพคล่องของสถาบันการเงิน ทำให้สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่งล้มละลาย ได้มีผลกระทบต่อเม็ดเงินในการลงทุน รวมถึงเม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบ นักลงทุนและประชาชนขาดความเชื่อมั่นจึงพากันถอนเงินและหันมาสำรองเงินสดมากขึ้น จนกองทุนรวมต้องเทขายหุ้นรองรับการไถ่ถอนหน่วยลงทุน" มล.ทองมกุฏ กล่าว
ดังนั้น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ถดถอยทำให้ดีมานด์ (อุปสงค์) ในการบริโภคลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ภาคการผลิตที่แท้จริงเริ่มประสบปัญหา อุตสาหกรรมต้องลดกำลังการผลิต ลดต้นทุนโดยปรับลดคนงาน ทำให้ตัวเลขผู้ตกงานสูงขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนโดยรวมลดลง มีความเสี่ยงต่อการเกิดหนี้เสียมากขึ้น สถาบันการเงินต้องเข้มงวดกับการปล่อยกู้ เงินในระบบจึงลดลง ประชาชนที่มีเงินก็ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ทำให้ในปี 2552 อาจเกิดภาวะเงินฝืด หรือเงินฝืด (Deflation) ขึ้นมาได้
สำหรับ ภาวะเงินฝืด เป็นภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการทั่วไปลดต่ำลงเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากอุปสงค์รวมมีน้อยเกินไป ไม่เพียงพอที่จะซื้อสินค้าและบริการ ทำให้ผู้ผลิตต้องลดราคาสินค้าเพื่อที่จะทำให้ขายได้ และลดการผลิตลง เพราะว่าถ้าผลิตออกมาเท่าเดิมก็ขายได้น้อย ผลที่ตามมาจะก่อให้เกิดผลเลวร้ายต่อเศรษฐกิจ เพราะการจ้างงานจะลดลงตามไปด้วย ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อมาตราฐานความเป็นอยู่ของประชาชน และกระทบกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนเช่นกัน
นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางการเมืองที่รัฐบาลนอมินีใช้ความรุนแรงต่อการชุมนุมที่สงบสันติของประชาชน ยังซ้ำเติมการลงทุนในประเทศให้ถดถอยลงกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค นักลงทุนต่างชาติจึงไม่กล้าเข้ามาลงทุนแม้ราคาหุ้นจะถูกมาก หรืออัตตรา P/E เรโชต่ำ ดังนั้น การจะเห็นการแรลลี่ของตลาดหุ้นในช่วงสิ้นปีแบบ December Effect หรือ January Effect เหมือนที่ผ่านมาคงจะเป็นไปได้ยาก และเป้าหมายดัชนีฯคงประเมินได้ลำบาก แต่จากคงจะไม่เลวร้ายถึงขั้นไประดับ 200 จุด อย่างที่มีการคาดการณ์เอาไว้ เพราะราคาหุ้นที่พื้นฐานดีปรับลงไปมากจนน่าจะจูงใจให้มีแรงซื้อกลับคืนมาได้บ้างแล้ว
รักพงศ์ ไชยศุภรากุลผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐศาสตร์และกลยุทธ์การลงทุน บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI กล่าวว่า บริษัทประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีหน้าโดยใช้ราคาต่อผลกำไร(P/E) ซึ่งคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวมจะเติบโตลดลง 5% อยู่ที่ 4.71 แสนล้านบาท จากปีนี้ที่ 4.95 แสนล้านบาท จึงทำให้ค่าP/E ปีหน้าจะสูงสุดเพียง 9 เท่า และต่ำสุดที่ 4 เท่า ส่งผลให้ดัชนีปีหน้าจะอยู่ระหว่าง 236-532 จุด
ทั้งนี้บริษัทคาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกปีหน้าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับต่ำสุดที่ 236 จุด เนื่องจาก เศรษฐกิจสหรัฐจะตกต่ำสุด และรัฐบาลของนาย บารัค โอบามา ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเงินได้ นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยจากปัจจุบันที่เหลืออยู่ 1.10 แสนล้านบาทหลังจากปีนี้ขายสุทธิ 1.47 แสนล้านบาท และหากปัญหาทางการเมืองไม่ยืดเยื้อ เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังดัชนีตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวได้
“บริษัทมองว่าการประเมินดัชนีปีหน้าของตลาดหุ้นไทยโดยใช้ค่า P/E นั้น เหมาะสมสุดจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็ว ซึ่งจากกำไรบจ.ปีหน้าจะลดลง 5% นั้น ทำให้ดัชนีเป็นไปได้ยากที่ค่าP/Eจะโตได้ 2 หลัก ซึ่งค่าP/Eสูงสุดจะอยู่ที่ 9 เท่า และต่ำสุด 4 เท่า กรอบดัชนีปีหน้าจะอยู่ที่ 236-532 จุด แต่หากนำกำไรหุ้นรายตัวมาคิดดัชนีปีหน้าจะอยู่ที่ 575 จุด ซึ่งวอลุ่มเฉลี่ยปีหน้าอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ 1.62 หมื่นล้านบาท รักพงศ์ กล่าว
สำหรับหุ้นกลุ่มที่จะมีกำไรเติบโตในปีหน้าคือหุ้นกลุ่มพาณิชย์ เนื่องจากมีการจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชนจึงทำให้มีกำไรเติบโตเพิ่มขึ้น 7.1% อยู่ที่ 1.29 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่คาดจะมีกำไรสุทธิ 1.21หมื่นล้านบาท และหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีกำไรโต 2.5% อยู่ที่ 8.48 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่มี 8.25 หมื่นล้านบาท ส่วนหุ้นที่มีกำไรลดลงต่ำสุด คือ กลุ่มสื่อสารจะมีกำไรลดลง 7.8% อยู่ที่ 3.34 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่มีกำไรสุทธิ 3.62 หมื่นล้านบาท รองมาหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์กำไรลดลง 5.7% อยู่ที่ 2.39 หมื่นล้านบาทจากปีนี้ที่2.53 หมื่นล้านบาท ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานโดยประเมินราคาน้ำมันอยู่ที่ 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลลดลง 3.4% อยู่ที่ 1.81 แสนล้านบาท จากปีนี้ที่อยู่ที่ 1.88 แสนล้านบาท จากช่วง 8เดือนแรกปีนี้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง
ขณะเดียวกัน บล.เคจีไอ คาดจีดีพีปีหน้าของไทยจะโตได้ 4% ซึ่งเติบโตลดลงจากปีนี้ที่คาดว่าจะโต 4.7% ปัจจัยหลักที่จะหนุนให้เศรษฐกิจไทยปีหน้าโตได้ คือการใช้จ่ายของภาครัฐบาลในการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ จากที่ไทยมีการทำงบประมาณขาดดุล 3 ปีติดต่อกัน และหากปัจจัยการเมืองคลี่คลายได้ก็จะทำให้ภาคเอกชนมีการลงทุนมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเอกชนจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น 4.5% จากปีนี้ที่ 4.4%
“เรามองจีดีพีปีหน้าโตได้ 4% ซึ่งถือว่าดีกว่ามุมมองของคนในวงการ ที่สภาพัฒน์ฯ มองว่าจะโต 3-4% ธปท.มองว่าจะโต 3.8-5% ซึ่งจากการหารือกับธปท.เชื่อว่า ธปท.จะมีการปรับลดจีดีพีลงในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ซึ่งบริษัทมองว่าแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายปีหน้าจะลดลงเหลือ 2.75-3% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 3.75% ” รักพงศ์ กล่าว
ด้านประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) อยุธยา มองว่า มีความเป็นไปได้ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2552 จะหลุด 300 จุด ซึ่งอาจจะต่ำถึง 200 จุด เเต่ทั้งนี้การที่ดัชนีหุ้นไทยจะลงต่ำถึง 200 จุดนั้นต้องมีเงื่อนไขสำคัญที่มีผลกระทบต่อตลาด เช่นปัญหาการเมือง รวมถึงถ้าเกิดข่าวร้ายเเละรุนเเรงจากต่างประเทศก็อาจจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นอีกเป็นระลอก จนทำให้ดัชนีที่ใครหลายคนมองว่าต่ำเเล้วจาก 300 จุด ก็อาจจะลดลงเหลือ 200 กว่าจุดได้ โดยส่วนตนเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2552 น่าจะต่ำสุดที่ 300 จุด และถ้าดัชนีตลาดลงต่ำมาเช่นนึ้ ก็มีโอกาสได้เห็นตลาดรีบาวด์ขึ้น 500 กว่าจุดด้วยเช่นกัน
ส่วนหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนคือ หุ้นกลุ่มสื่อสาร หุ้นกลุ่มพาณิชย์ โดยหุ้นทั้ง 2 กลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบไม่มากถ้าเกิดดัชนีตลาดหุ้นปรับลด ขณะที่หุ้นกลุ่มสถาบันการเงินเเละหุ้นกลุ่มพลังงานนั้นถือว่าก็ยังพอลงทุนได้ เเต่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงในการลงทุนทั้ง 2 กลุ่มนั้นคือ ถ้าตลาดหุ้นปรับตัวลดเเรง หุ้นกลุ่มสถาบันการเงินเเละหุ้นกลุ่มพลังงานก็ย่อมลงเเรงเช่นกัน ดังนั้นนอกจากจะเลือกหุ้นเป็นรายกลุ่มเเล้วยังมีอยากให้มีการเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เเละเเนวโน้มการเติบโตสูงอีกด้วย
ปี 2551 เป็นปีที่ทำให้ใครหลายคนตื่นตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นปัญหารการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ เเละปัญหาเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้ทุกประเทศ ทุกภูมิภาครวมถึงไทยเองไดรับผลกระทบเช่นกัน ส่วนในปี 2552 นี้หลายคนก็มองอีกว่าปัญหาที่คาดเกิดขึ้นในปี 2551 จะคลี่คลายไปในทางที่ดี เเต่เมื่อมาวิเคราะห์เเละหาเเหตุผลประกอบเเล้ว นักวิเคราะห์มองไปในทิศทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจปีหน้าเผาจริงเเน่นอน....กว่า เมื่อเป็นเช่นนี้มาดูกันว่าเเนวโน้มของภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย จะมีทิศทางไปอย่างใดกันบ้าง?
มล.ทองมกุฏ ทองใหญ่ ผู้บริหารฝ่ายค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ซิตี้ คอร์ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมโบรกเกอร์ต่างประเทศ เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นปี 2552 น่าจะยังผันผวนหนัก จากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่จะทวีความรุนแรงขึ้นและส่งผลเสียหายกับธุรกิจทุกภาคส่วน
"เราประเมินว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับระบบการเงินและตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในปี 2551 เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ซึ่งจากปัญหาสินเชื่อที่เข้าทำลายสภาพคล่องของสถาบันการเงิน ทำให้สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่งล้มละลาย ได้มีผลกระทบต่อเม็ดเงินในการลงทุน รวมถึงเม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบ นักลงทุนและประชาชนขาดความเชื่อมั่นจึงพากันถอนเงินและหันมาสำรองเงินสดมากขึ้น จนกองทุนรวมต้องเทขายหุ้นรองรับการไถ่ถอนหน่วยลงทุน" มล.ทองมกุฏ กล่าว
ดังนั้น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ถดถอยทำให้ดีมานด์ (อุปสงค์) ในการบริโภคลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ภาคการผลิตที่แท้จริงเริ่มประสบปัญหา อุตสาหกรรมต้องลดกำลังการผลิต ลดต้นทุนโดยปรับลดคนงาน ทำให้ตัวเลขผู้ตกงานสูงขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนโดยรวมลดลง มีความเสี่ยงต่อการเกิดหนี้เสียมากขึ้น สถาบันการเงินต้องเข้มงวดกับการปล่อยกู้ เงินในระบบจึงลดลง ประชาชนที่มีเงินก็ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ทำให้ในปี 2552 อาจเกิดภาวะเงินฝืด หรือเงินฝืด (Deflation) ขึ้นมาได้
สำหรับ ภาวะเงินฝืด เป็นภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการทั่วไปลดต่ำลงเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากอุปสงค์รวมมีน้อยเกินไป ไม่เพียงพอที่จะซื้อสินค้าและบริการ ทำให้ผู้ผลิตต้องลดราคาสินค้าเพื่อที่จะทำให้ขายได้ และลดการผลิตลง เพราะว่าถ้าผลิตออกมาเท่าเดิมก็ขายได้น้อย ผลที่ตามมาจะก่อให้เกิดผลเลวร้ายต่อเศรษฐกิจ เพราะการจ้างงานจะลดลงตามไปด้วย ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อมาตราฐานความเป็นอยู่ของประชาชน และกระทบกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนเช่นกัน
นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางการเมืองที่รัฐบาลนอมินีใช้ความรุนแรงต่อการชุมนุมที่สงบสันติของประชาชน ยังซ้ำเติมการลงทุนในประเทศให้ถดถอยลงกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค นักลงทุนต่างชาติจึงไม่กล้าเข้ามาลงทุนแม้ราคาหุ้นจะถูกมาก หรืออัตตรา P/E เรโชต่ำ ดังนั้น การจะเห็นการแรลลี่ของตลาดหุ้นในช่วงสิ้นปีแบบ December Effect หรือ January Effect เหมือนที่ผ่านมาคงจะเป็นไปได้ยาก และเป้าหมายดัชนีฯคงประเมินได้ลำบาก แต่จากคงจะไม่เลวร้ายถึงขั้นไประดับ 200 จุด อย่างที่มีการคาดการณ์เอาไว้ เพราะราคาหุ้นที่พื้นฐานดีปรับลงไปมากจนน่าจะจูงใจให้มีแรงซื้อกลับคืนมาได้บ้างแล้ว
รักพงศ์ ไชยศุภรากุลผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐศาสตร์และกลยุทธ์การลงทุน บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI กล่าวว่า บริษัทประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีหน้าโดยใช้ราคาต่อผลกำไร(P/E) ซึ่งคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวมจะเติบโตลดลง 5% อยู่ที่ 4.71 แสนล้านบาท จากปีนี้ที่ 4.95 แสนล้านบาท จึงทำให้ค่าP/E ปีหน้าจะสูงสุดเพียง 9 เท่า และต่ำสุดที่ 4 เท่า ส่งผลให้ดัชนีปีหน้าจะอยู่ระหว่าง 236-532 จุด
ทั้งนี้บริษัทคาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกปีหน้าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับต่ำสุดที่ 236 จุด เนื่องจาก เศรษฐกิจสหรัฐจะตกต่ำสุด และรัฐบาลของนาย บารัค โอบามา ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเงินได้ นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยจากปัจจุบันที่เหลืออยู่ 1.10 แสนล้านบาทหลังจากปีนี้ขายสุทธิ 1.47 แสนล้านบาท และหากปัญหาทางการเมืองไม่ยืดเยื้อ เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังดัชนีตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวได้
“บริษัทมองว่าการประเมินดัชนีปีหน้าของตลาดหุ้นไทยโดยใช้ค่า P/E นั้น เหมาะสมสุดจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็ว ซึ่งจากกำไรบจ.ปีหน้าจะลดลง 5% นั้น ทำให้ดัชนีเป็นไปได้ยากที่ค่าP/Eจะโตได้ 2 หลัก ซึ่งค่าP/Eสูงสุดจะอยู่ที่ 9 เท่า และต่ำสุด 4 เท่า กรอบดัชนีปีหน้าจะอยู่ที่ 236-532 จุด แต่หากนำกำไรหุ้นรายตัวมาคิดดัชนีปีหน้าจะอยู่ที่ 575 จุด ซึ่งวอลุ่มเฉลี่ยปีหน้าอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ 1.62 หมื่นล้านบาท รักพงศ์ กล่าว
สำหรับหุ้นกลุ่มที่จะมีกำไรเติบโตในปีหน้าคือหุ้นกลุ่มพาณิชย์ เนื่องจากมีการจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชนจึงทำให้มีกำไรเติบโตเพิ่มขึ้น 7.1% อยู่ที่ 1.29 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่คาดจะมีกำไรสุทธิ 1.21หมื่นล้านบาท และหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีกำไรโต 2.5% อยู่ที่ 8.48 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่มี 8.25 หมื่นล้านบาท ส่วนหุ้นที่มีกำไรลดลงต่ำสุด คือ กลุ่มสื่อสารจะมีกำไรลดลง 7.8% อยู่ที่ 3.34 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่มีกำไรสุทธิ 3.62 หมื่นล้านบาท รองมาหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์กำไรลดลง 5.7% อยู่ที่ 2.39 หมื่นล้านบาทจากปีนี้ที่2.53 หมื่นล้านบาท ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานโดยประเมินราคาน้ำมันอยู่ที่ 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลลดลง 3.4% อยู่ที่ 1.81 แสนล้านบาท จากปีนี้ที่อยู่ที่ 1.88 แสนล้านบาท จากช่วง 8เดือนแรกปีนี้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง
ขณะเดียวกัน บล.เคจีไอ คาดจีดีพีปีหน้าของไทยจะโตได้ 4% ซึ่งเติบโตลดลงจากปีนี้ที่คาดว่าจะโต 4.7% ปัจจัยหลักที่จะหนุนให้เศรษฐกิจไทยปีหน้าโตได้ คือการใช้จ่ายของภาครัฐบาลในการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ จากที่ไทยมีการทำงบประมาณขาดดุล 3 ปีติดต่อกัน และหากปัจจัยการเมืองคลี่คลายได้ก็จะทำให้ภาคเอกชนมีการลงทุนมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเอกชนจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น 4.5% จากปีนี้ที่ 4.4%
“เรามองจีดีพีปีหน้าโตได้ 4% ซึ่งถือว่าดีกว่ามุมมองของคนในวงการ ที่สภาพัฒน์ฯ มองว่าจะโต 3-4% ธปท.มองว่าจะโต 3.8-5% ซึ่งจากการหารือกับธปท.เชื่อว่า ธปท.จะมีการปรับลดจีดีพีลงในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ซึ่งบริษัทมองว่าแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายปีหน้าจะลดลงเหลือ 2.75-3% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 3.75% ” รักพงศ์ กล่าว
ด้านประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) อยุธยา มองว่า มีความเป็นไปได้ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2552 จะหลุด 300 จุด ซึ่งอาจจะต่ำถึง 200 จุด เเต่ทั้งนี้การที่ดัชนีหุ้นไทยจะลงต่ำถึง 200 จุดนั้นต้องมีเงื่อนไขสำคัญที่มีผลกระทบต่อตลาด เช่นปัญหาการเมือง รวมถึงถ้าเกิดข่าวร้ายเเละรุนเเรงจากต่างประเทศก็อาจจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นอีกเป็นระลอก จนทำให้ดัชนีที่ใครหลายคนมองว่าต่ำเเล้วจาก 300 จุด ก็อาจจะลดลงเหลือ 200 กว่าจุดได้ โดยส่วนตนเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2552 น่าจะต่ำสุดที่ 300 จุด และถ้าดัชนีตลาดลงต่ำมาเช่นนึ้ ก็มีโอกาสได้เห็นตลาดรีบาวด์ขึ้น 500 กว่าจุดด้วยเช่นกัน
ส่วนหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนคือ หุ้นกลุ่มสื่อสาร หุ้นกลุ่มพาณิชย์ โดยหุ้นทั้ง 2 กลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบไม่มากถ้าเกิดดัชนีตลาดหุ้นปรับลด ขณะที่หุ้นกลุ่มสถาบันการเงินเเละหุ้นกลุ่มพลังงานนั้นถือว่าก็ยังพอลงทุนได้ เเต่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงในการลงทุนทั้ง 2 กลุ่มนั้นคือ ถ้าตลาดหุ้นปรับตัวลดเเรง หุ้นกลุ่มสถาบันการเงินเเละหุ้นกลุ่มพลังงานก็ย่อมลงเเรงเช่นกัน ดังนั้นนอกจากจะเลือกหุ้นเป็นรายกลุ่มเเล้วยังมีอยากให้มีการเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เเละเเนวโน้มการเติบโตสูงอีกด้วย