บลจ.ไทยพาณิชย์ ชี้หุ้นปีหน้าไม่ดี เชื่อว่าตลาดเหวี่ยงค่อนข้างสูง แนะนักลงทุนทยอยเข้าซื้อขาย ทำกำไรระยะสั้น เหตุมีโอกาสอัพไซด์มาก และใช้อนุพันธ์ช่วยปิดความเสี่ยง ส่วนหุ้นในเอเชียยังน่าสนใจ เนื่องจากไม่มีวิกฤติสถาบันการเงิน แต่เกิดจากวิกฤติความเชื่อมั่นของนักลงทุนเท่านั้น เผยยังไม่พร้อมเปิดโอกาสให้กองทุนหุ้นระยะยาวสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ เหตุสามารถสับเปลี่ยนโยกย้ายหน่วยลงทุนตลอดเวลาอยู่แล้ว แย้มสนใจเข้าลงทุนใน สต๊อก ฟิวเจอร์ แต่ยังมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนน้อย และยังมีสภาพคล่องไม่มาก ทำให้ราคาไม่สามารถปรับขึ้นไปได้ เหมาะกับนักลงทุนรายย่อยมากกว่า
นายชูเกียรติ ธิติหิรัญเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน สายงานการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นในปีหน้าไม่ดี แม้ว่าพีอีเรโชจะอยู่ในระดับ 6 – 7 โดยหุ้นจะขับเคลื่อนโดยข่าวที่เข้ามาในระยะสั้น และตลาดจะค่อนข้างเหวี่ยงไปมา แต่ในกรณีที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแรง นักลงทุนควรทยอยเข้าไปซื้อ เนื่องจากในระยะยาวจะอัพไซส์มาก โดยราคาหุ้นในระดับ 380 จุดยังเป็นระดับที่น่าซื้อ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง หากไม่มีข่าวลบเข้ามา และหากหุ้นปรับขึ้นไปที่ระดับ 500 จุด จะต้องทำการประเมินกันใหม่ โดยทุกครั้งที่หุ้นปรับตัวขึ้นไปจะมีการสร้างฐาน หากข่าวร้ายลดลง หุ้นจะปรับขึ้นไปได้อีก แต่หากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลง หุ้นก็จะยืนอยู่ในระดับเดิมไม่ได้เช่นกัน
ส่วนหุ้นต่างประเทศที่ยังมีความน่าสนใจจะเป็นหุ้นของประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยหลายฝ่ายมองว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียโดยเฉลี่ยในปี 2552 จะอยู่ที่ระดับ 6% ขณะที่ประเทศในภูมิภาคยุโรปยังไม่ทราบว่าจะได้รับผลกระกระทบมากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกัน การที่ภูมิภาคเอเชียไม่ได้เป็นศูนย์กลางความเสียหายดังเช่นยุโรป โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียปรับลดลงมาจากการที่ซึมซับข่าวร้ายของภูมิภาคอื่น แต่คาดว่าในปีหน้าจะถูกกระทบแน่นอน โดยประเทศในภูมิภาคเอเชียไม่มีวิกฤติสถาบันการเงิน แต่เกิดจากวิกฤติความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ทั้งนี้ คาดว่าภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าจะชะลอตัวลง โดยบริษัทที่มีการปลดพนักงานส่วนใหญจะเป็นบริษัทที่มีการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยเฉพาะการส่งออกกับภูมิภาคที่เกิดวิกฤติการณ์ ส่วนบริษัทที่ไม่ได้พึ่งพาการส่งออก หรือส่งออกไปในตลาดที่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย และยุโรปจะสามารถอยู่รอดได้ โดยจากการที่ภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลไปหมด แต่จะยังมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย แม้ว่าเม็ดเงินบางส่วนจะไหลกลับไปยังสหรัฐอเมริกาบ้างก็ตาม และในระยะยาวประมาณ 2 – 3 ปี อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียจะขยายตัวดีกว่าประเทศในภูมิภาคยุโรป และสหรัฐฯอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยหากจะลงทุนในหุ้นต่างประเทศควรจะโฟกัสไปที่หุ้นในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก
นายชูเกียรติกล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 น่าจะสามารถเห็นจุดต่ำสุดของภาวะเศรษฐกิจได้ โดยจะมีข่าวเข้ามากระทบโดยตลอด และตลาดจะมีความผันผวนมาก โดยธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ การส่งออก ท่องเที่ยว โรงแรม โดยนักลงทุนควรเข้าไปทยอยซื้อในจุดที่น่าซื้อ เนื่องจากมีโอกาสในการซื้อขายทำกำไรอีกมาก เนื่องจากพีอีเรโชยังถูก ปัจจัยพื้นฐานยังดี โดยในระยะสั้นยังสามารถเข้าไปจับจังหวะในการทำกำไรได้ และควรใช้อนุพันธ์มาช่วยในการปิดความเสี่ยงด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการใช้อนุพันธ์ในการปิดความเสี่ยงมาใช้เกือบทุกกองทุนของบริษัทเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกองทุนหุ้นทุกกองทุน ส่วนกองทุนที่มีการใช้อนุพันธ์ในการปิดความเสี่ยงเป็นประจำ ได้แก่ กองทุนหุ้นระยะยาว สมาร์ท โดยนับว่าเป็นกองทุนที่สามารถทำกำไรสูงสุดในกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) โดยมีการใช้อนุพันธ์มาเพื่อทำให้กองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพียง 30% เท่านั้น โดยผลการดำเนินงาน สิ้นสุด วันที่ 28 พฤศจิกายน 2551 พบว่าตั้งแต่จัดตั้ง -17% ขณะที่ตลาดหุ้น -47% และมีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปี -20% ขณะที่ตลาดหุ้น -53% โดยปัจจุบัน มีเม็ดเงินไหลเข้ามากองทุนหุ้นระยะยาวประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยกองทุนเปิดหุ้นระยะยาว ทาร์เก็ต มีมูลค่าเม็ดเงินไหลเข้ามามากทีสุดประมาณ 2,200 ล้านบาท ขณะที่บัญชีเพิมขึ้นเป็น 80,000 บัญชี โดยเป็นบัญชีลูกค้าใหม่ประมาณ 22,000 บัญชี
ส่วนการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุญาตให้กองทุนรวมหุ้นระยะยาว สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการเหมือนกองทุนรวมหุ้นทั่วไป โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551 นี้ โดยบริษัทยังยังไม่มีนโยบายในเรื่องนี้แต่อย่างใด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการเปิดให้นักลงทุนเข้ามาทำการซื้อขาย หรือสับเปลี่ยนโยกย้ายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการอยู่แล้ว และกองทุนหลากหลายรองรับอย่างครบถ้วนแล้ว ขณะที่บริษัทอื่นบางบริษัทมีกองทุนน้อย ขณะที่การเปิดซื้อขาย Single Stock Futures (SSF) หรือฟิวเจอร์ที่อ้างอิงกับหุ้นสามัญรายตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมานั้น บริษัทมีความสนใจเช่นกัน แต่ยังมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนน้อย และยังมีสภาพคล่องไม่มาก ทำให้ราคาไม่สามารถปรับขึ้นไปได้ โดยมองว่าเหมาะสมกับนักลงทุนรายย่อยมากกว่า
นายชูเกียรติ ธิติหิรัญเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน สายงานการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นในปีหน้าไม่ดี แม้ว่าพีอีเรโชจะอยู่ในระดับ 6 – 7 โดยหุ้นจะขับเคลื่อนโดยข่าวที่เข้ามาในระยะสั้น และตลาดจะค่อนข้างเหวี่ยงไปมา แต่ในกรณีที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแรง นักลงทุนควรทยอยเข้าไปซื้อ เนื่องจากในระยะยาวจะอัพไซส์มาก โดยราคาหุ้นในระดับ 380 จุดยังเป็นระดับที่น่าซื้อ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง หากไม่มีข่าวลบเข้ามา และหากหุ้นปรับขึ้นไปที่ระดับ 500 จุด จะต้องทำการประเมินกันใหม่ โดยทุกครั้งที่หุ้นปรับตัวขึ้นไปจะมีการสร้างฐาน หากข่าวร้ายลดลง หุ้นจะปรับขึ้นไปได้อีก แต่หากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลง หุ้นก็จะยืนอยู่ในระดับเดิมไม่ได้เช่นกัน
ส่วนหุ้นต่างประเทศที่ยังมีความน่าสนใจจะเป็นหุ้นของประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยหลายฝ่ายมองว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียโดยเฉลี่ยในปี 2552 จะอยู่ที่ระดับ 6% ขณะที่ประเทศในภูมิภาคยุโรปยังไม่ทราบว่าจะได้รับผลกระกระทบมากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกัน การที่ภูมิภาคเอเชียไม่ได้เป็นศูนย์กลางความเสียหายดังเช่นยุโรป โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียปรับลดลงมาจากการที่ซึมซับข่าวร้ายของภูมิภาคอื่น แต่คาดว่าในปีหน้าจะถูกกระทบแน่นอน โดยประเทศในภูมิภาคเอเชียไม่มีวิกฤติสถาบันการเงิน แต่เกิดจากวิกฤติความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ทั้งนี้ คาดว่าภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าจะชะลอตัวลง โดยบริษัทที่มีการปลดพนักงานส่วนใหญจะเป็นบริษัทที่มีการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยเฉพาะการส่งออกกับภูมิภาคที่เกิดวิกฤติการณ์ ส่วนบริษัทที่ไม่ได้พึ่งพาการส่งออก หรือส่งออกไปในตลาดที่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย และยุโรปจะสามารถอยู่รอดได้ โดยจากการที่ภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลไปหมด แต่จะยังมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย แม้ว่าเม็ดเงินบางส่วนจะไหลกลับไปยังสหรัฐอเมริกาบ้างก็ตาม และในระยะยาวประมาณ 2 – 3 ปี อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียจะขยายตัวดีกว่าประเทศในภูมิภาคยุโรป และสหรัฐฯอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยหากจะลงทุนในหุ้นต่างประเทศควรจะโฟกัสไปที่หุ้นในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก
นายชูเกียรติกล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 น่าจะสามารถเห็นจุดต่ำสุดของภาวะเศรษฐกิจได้ โดยจะมีข่าวเข้ามากระทบโดยตลอด และตลาดจะมีความผันผวนมาก โดยธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ การส่งออก ท่องเที่ยว โรงแรม โดยนักลงทุนควรเข้าไปทยอยซื้อในจุดที่น่าซื้อ เนื่องจากมีโอกาสในการซื้อขายทำกำไรอีกมาก เนื่องจากพีอีเรโชยังถูก ปัจจัยพื้นฐานยังดี โดยในระยะสั้นยังสามารถเข้าไปจับจังหวะในการทำกำไรได้ และควรใช้อนุพันธ์มาช่วยในการปิดความเสี่ยงด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการใช้อนุพันธ์ในการปิดความเสี่ยงมาใช้เกือบทุกกองทุนของบริษัทเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกองทุนหุ้นทุกกองทุน ส่วนกองทุนที่มีการใช้อนุพันธ์ในการปิดความเสี่ยงเป็นประจำ ได้แก่ กองทุนหุ้นระยะยาว สมาร์ท โดยนับว่าเป็นกองทุนที่สามารถทำกำไรสูงสุดในกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) โดยมีการใช้อนุพันธ์มาเพื่อทำให้กองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพียง 30% เท่านั้น โดยผลการดำเนินงาน สิ้นสุด วันที่ 28 พฤศจิกายน 2551 พบว่าตั้งแต่จัดตั้ง -17% ขณะที่ตลาดหุ้น -47% และมีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปี -20% ขณะที่ตลาดหุ้น -53% โดยปัจจุบัน มีเม็ดเงินไหลเข้ามากองทุนหุ้นระยะยาวประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยกองทุนเปิดหุ้นระยะยาว ทาร์เก็ต มีมูลค่าเม็ดเงินไหลเข้ามามากทีสุดประมาณ 2,200 ล้านบาท ขณะที่บัญชีเพิมขึ้นเป็น 80,000 บัญชี โดยเป็นบัญชีลูกค้าใหม่ประมาณ 22,000 บัญชี
ส่วนการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุญาตให้กองทุนรวมหุ้นระยะยาว สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการเหมือนกองทุนรวมหุ้นทั่วไป โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551 นี้ โดยบริษัทยังยังไม่มีนโยบายในเรื่องนี้แต่อย่างใด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการเปิดให้นักลงทุนเข้ามาทำการซื้อขาย หรือสับเปลี่ยนโยกย้ายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการอยู่แล้ว และกองทุนหลากหลายรองรับอย่างครบถ้วนแล้ว ขณะที่บริษัทอื่นบางบริษัทมีกองทุนน้อย ขณะที่การเปิดซื้อขาย Single Stock Futures (SSF) หรือฟิวเจอร์ที่อ้างอิงกับหุ้นสามัญรายตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมานั้น บริษัทมีความสนใจเช่นกัน แต่ยังมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนน้อย และยังมีสภาพคล่องไม่มาก ทำให้ราคาไม่สามารถปรับขึ้นไปได้ โดยมองว่าเหมาะสมกับนักลงทุนรายย่อยมากกว่า