xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรปลื้มAUMโตสวนกระแสศก.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.กสิกรไทยปลื้มผลดำเนินงานฝ่ากระแสวิกฤตโลก โตสวนทางอุตสาหกรรมดันมูลค่าเอยูเอ็มพุ่งแตะ 2.4 แสนล้านบาท โดยกองทุนรวมครองแชมป์ยอดโตสุดขยายตัว 6.5 หมื่นล้านบาท มั่นใจแบงก์ขยับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากไม่กระทบ เหตุต้องหักภาษี 15% และยิลด์กองทุนยังอยู่ในระดับที่สูงกว่า

นายนคร ตามไท ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า ผลจากวิกฤตการเงินโลกได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกองทุน ทำให้บริษัทขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) รวม 3 ธุรกิจไม่ได้ตามเป้าเช่นเดียวกับบลจ.อื่นๆ แต่ภาพรวมของบริษัทถือว่ามีการเติบโตที่เพิ่มขึ้นสวนทางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกองทุนรวมที่เติบโตจากต้นปีประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันกองทุนมีสินทรัพย์เพิ่มเป็น 8.5 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ สาเหตุที่กองทุนรวมเติบโตขึ้นมากกว่ากองทุนประเภทอื่น เนื่องจากการขยายตัวของ กองทุนรวมตลาดเงินหรือมันนี่ มาร์เก็ต ที่มีความเสี่ยงต่ำ ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเท่านั้นทำให้ผู้ลงทุนสบายใจ รวมทั้งผลตอบแทนของกองทุนประมาณ 3.2% และสภาพคล่องที่สามารถทำการขายคืนได้ทุกวันนั้น เป็นแรงจูงใจให้ ลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์ให้ความสนใจเข้ามาซื้อกองทุนนี้มากขึ้น เพื่อพักเงินไว้รอการลงทุนประเภทอื่นๆต่อไป

"การเติบโตของสินทรัพย์ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะทีมงานและพนักงานของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นแบงก์แม่ให้การสนับสนุนและแนะนำกองทุนให้แก่ลูกค้าได้รู้จัก ทำให้ยอดขายกองทุนผ่านสาขาของธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศเพิ่มขึ้นมากในปีนี้ อีกทั้งธนาคารกสิกรไทยเป็นที่รู้จัก นักลงทุนให้ความเชื่อมั่นจึงไว้ใจในกองทุนรวมของบริษัท "นายนครกล่าว

สำหรับ มูลค่าสินทรัพย์กองทุนรวมของบลจ.กสิกรไทย ณ วันที่ 14 พ.ย.2551 มีมูลค่า249,372 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,978 ล้านบาท หรือ เติบโต 4.6% จากสิ้นปีที่ผ่านมามีสินทรัพย์ 238,394 ล้านบาท ขณะที่อุตสาหกรรม ณ วันที่ 14 พ.ย.2551 มีมูลค่าสินทรัพย์รวม 1,515,969 ล้านบาท ลดลง 94,923 ล้านบาท หรือ 5.89% จากสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,610,892 ล้านบาท

นายนคร กล่าวว่า ทางด้านจำนวนบัญชีกองทุนรวมของบริษัทได้เติบโตขึ้นเกือบแสนบัญชีในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ส่งผลให้มีจำนวนบัญชีประมาณ 3 แสนบัญชี ในครึ่งแรกของปีนี้ แต่ภาพรวมในครึ่งปีหลังเมื่อเกิดวิกฤตทางการเงินรุนแรง ตลาดหุ้นลดลงอย่างหนัก อาจทำให้การเติบโตของผู้ลงทุนรายใหม่ๆ มีน้อยลง ซึ่งผลจากวิกฤตที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทต้องประเมินสถานการณ์ใหม่ รวมถึงกำหนดแผนงานในปีหน้า

ส่วนกองทุนรวมที่ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเทศเกาหลีนั้นปัจจุบันทยอยครบอายุการลงทุนต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทเองมีการออกกองทุนพันธบัตรอายุ 6 เดือน 12เดือนทุกเดือน เพื่อรองรับเม็ดเงินลงทุนกลุ่มนี้ แต่หากผู้ลงทุนไม่ต้องการลงทุนแบบล็อคระยะเวลาก็จะเลือกเข้ามาลงทุนในกองทุนมันนี่ มาร์เก็ต เพื่อพักเงินไว้ก่อน ซึ่งในอนาคตหากมีช่องทางลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลี ก็พร้อมพิจารณาเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน

ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์เพื่อดึงเงินฝาก โดยบางธนาคารให้ดอกเบี้ย 3.5% นั้น มองว่าแม้ดอกเบี้ยดูจูงใจ แต่นักลงทุนต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก 15% นั่น แต่กองทุนรวมยังให้ผลตอบแทนประมาณ 3.4-3.5% ทำให้ลูกค้าเห็นความแตกต่างและยังเลือกที่จะลงทุนในกองทุนอยู่โดยไม่โยกย้ายเงินไปฝากธนาคาร
กำลังโหลดความคิดเห็น