ต้นสัปดาห์ ดัชนีหุ้นไทยมีการดีดกลับมาบ้างแล้ว ถือว่าเราเริ่มมองเห็นสัญญาณที่ดีในการลงทุนกับเขาบ้าง เมื่อนักลงทุนต่างชาติเริ่มมีการซื้อสุทธิกลับเข้าในตลาดหุ้นไทย อาทิ เมื่อวันศุกร์ที่31 ตุลาคมที่ผ่านมา มีการซื้อสุทธิ 1,832 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันมีการซื้อสุทธิรวม 401 ล้านบาท โดยหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ถือว่าเป็นข่าวดีของนักลงทุนยักษ์เล็กและยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย แม้ว่าวานนี้ (5พ.ย.)ดัชนีหุ้นตอนปิดตลาดจะติดลบ0.26จุด มาอยู่ที่ 457.36จุดก็ตาม
จากการพูดคุยกับบรรดานักวิเคราะห์ในด้านทางเทคนิคแล้ว หลายคนฝันให้ดัชนียืนอยู่เหนือ 480 จุดไปให้ได้ เพื่อที่จะเป็นฐานในการดีดตัวกลับไปสู่เพดานบนเหมือนในอดีต แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ดัชนีหุ้นจะดิ่งลงกลับมาอยู่ในช่วง 380 จุดนั้นหากมีการปรับตัวขึ้นก็จะเป็นไปในแนวSide way ทั้งนี้ทุกคนต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นกระเตื้องขึ้นมา นอกจากมาตรการแก้ไขวิกฤตการเงินโลกของรัฐบาลต่างๆแล้ว ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยผลักดันเช่นกัน
เนื่องจากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา เวลาที่สหรัฐฯมีการเลือกตั้งครั้งใหญ่ดัชนีหุ้นดาวนโจนส์จะดีดตัวรับข่าวดีเช่นนี้ โดยเฉพาะในครั้งนี้ชาวอเมริกาเชื่อว่าท่านผู้นำคนใหม่ จะช่วยนำพาประเทศฝ่าวิกฤตครั้งนี้ออกไปได้
ความจริง ราคาหุ้นไทยหลายตัวถือว่าอยู่ในระดับที่น่าซื้อและไม่ควรปล่อยให้หลุดลอยไป อาทิเช่นหุ้นในกลุ่มปตท. ไล่ตั้งแต่ตัวแม่อย่าง บมจ.ปตท (PTT) ซึ่งต้องยอมรับว่าหากอยู่ในสถานการณ์ปกติ ราคาหุ้นขนาดนี้คุณไม่มีทางหาซื้อจากที่ไหนได้อย่างแน่นอน
แต่ปัจจุบันราคาหุ้นปตท.ตกลงอย่างมาก เพราะมีการเทขายทำกำไรออกมาจากความหวั่นวิตกผลกระทบวิกฤตสถานบันการเงินที่ลุกลามไปทั่วโลก โดยแทบหาใครที่จะหันมาสนใจข้อมูลพื้นฐาน โครงสร้างทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของหุ้นเหล่านี้ไม่เจอ
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นโอกาสดีของของนักลงทุนระยะยาว เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม แม้วันเวลาการฟื้นตัวกลับของราคาหุ้น ยังไม่มีใครกล้าฟันธงออกมา แต่ราคาต่ำอยู่ก็นับว่าเป็นสิ่งล่อตาล่อใจไม่ใช่น้อย หรือคุณจะปล่อยให้มันดีดตัวกลับอยู่ที่ราคาเดียวกันเมื่อวันนี้ของปีที่ผ่านมาเสียก่อนถึงจะเข้าลงทุน โดยหากปล่อยให้เป็นแบบนั้น ต้องขอบอกว่า ....“อาจสายเกินไป”
แน่นอน ยังไม่มีใครกล้าออกมายืนยันได้ว่า ช่วงเวลาที่เหลือในสัปดาห์นี้ดัชนีหุ้นจะเริ่มรีบาวน์กลับมาแล้วหรือเปล่า? แต่การลงทุนในระยะยาวไม่จำเป็นที่จะต้องมองไปถึงจุดดังกล่าว เพียงแต่คุณต้องย้ำเตือนตัวเองว่า “เวลานี้...คุณต้องเลิก!กลัวได้แล้ว”
ก่อนหน้านี้ ทีมงานผู้จัดการกองทุน ได้เคยนำเสนอเรื่องจุดต่ำสุด ซึ่งนับว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นความฝันของนักลงทุนหลายคน ที่พยามมองหาจุดต่ำสุดของดัชนีเพื่อที่จะเข้าไปกอบโกยผลกำไรจากการลงทุน สุดท้ายก็ไม่สามารถมีใครช่วยให้คำตอบเรื่องนี้แก่คุณได้ วันนี้ทางทีมงานฯอยากจะขอย้ำจุดยืนเดิม ที่มาในรูปแบบใหม่ภายใต้คอนเซปต์ว่า “เลิกกลัว!..เสียที”
...ตลอดเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา หลากหลายปัญหาถาโถมเข้ามาสู่ไทยไม่มีจบสิ้น ทั้งปัญญาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพจากสหรัฐฯ จนลุกลามไปสู่วิกฤตสถาบันการเงิน พร้อมกับปัญหาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี)น้ำมัน และพืชผลทางการเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้น และต่อเนื่องมาถึงปัญหาเงินเฟ้อที่ตามมาติดๆ แบบหายใจลดต้นคอ รวมถึงปัญหาสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ... โดยที่ผ่านมากับปัจจัยลบเหล่านี้ ทุกคนได้รับฟัง รับทราบ ได้อ่าน ได้เห็นกันมาอย่างต่อเนื่องจาก บรรดานักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญ ที่พูดเป็นเสียงเดียวกันมาตลอด หรือเห็นได้จากการตอบหรือการแสดงความเห็นของบรรดาคนดังที่อยู่ในวงการเหล่านี้ ซึ่งมักจะตอบไปในทิศทางเดียวกันในเรื่องเดิม หรือพูดง่ายๆแทบจะคัดลอกคำพูดกันออกมา เพียงแต่เปลี่ยนเสียงและคนที่พูดเท่านั้น
เรื่องแบบนี้ ทำให้มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราทุกคน โดยที่ไม่มีใครทราบว่า มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดนั่นคือ ...“ความชินชา” เพราะทุกๆวันเมื่อประชาชนรับรู้ข่าวสารเรื่องร้ายๆเหล่านี้เข้ามา **ในระยะแรกย่อมหนีไม่พ้นความกลัว ความวิตกกังวล จนเกิดการขายหุ้น ขายสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่ออกไป เพื่อหวังว่าตนเองจะได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวให้น้อยที่สุด ต่อมาเมื่อเรารับทราบข่าวสารเหล่านี้ทุกวันอย่างต่อเนื่อง ความกลัว ความกังวลที่มีอยู่จะเริ่มนิ่งสุมทับและกัดกร่อนหัวใจรวมสติของเราไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องที่ชินชาของทุกคน อย่างที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ อาทิ น้ำมันขึ้นอีกแล้ว!แต่ก็ต้องใช้ต่อไป เพียงพยายามใช้ให้น้อยลง , ราคาหุ้นตกอีกแล้ว แต่ก็ต้องมองหาโอกาสที่จะขายหุ้นที่ถืออยู่ เพื่อให้ขาดทุนน้อยที่สุด ทั้งที่มีโอกาสน้อยมาก ก็ยังต้องพยายามไปเรื่อยๆ
จากการสำรวจและสอบถามผู้เชี่ยวชาญ ผู้ที่คว่ำหวอดในวงการล้วนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า “วิกฤตต่างๆที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องน่าวิตก แต่ความหวาดกลัวของนักลงทุน นี่สิเป็นเรื่องที่น่าหวั่นเกรงมากกว่า เพราะหากเรื่องนี้เกิดขึ้นมาเมื่อใด ก็ไม่มีใครจะรู้ว่าเมื่อไรความเชื่อมั่น หรือความกลัวเหล่านี้จะหมดไปจากจิตใจของนักลงทุนได้ ดังนั้นสิ่งนี้เป็นยิ่งกว่าวิกฤตต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วโลกเสียอีก”
หากใครที่ยอมปล่อยให้ความชินชานี้เกาะติดอยู่กับตัว ต้องขอย้ำว่าอาจทำให้สูญเสียโอกาสในการสร้างผลประโยชน์ หรือผลตอบแทนให้หายไปกับอากาศได้ ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนควรทำนั่นคือ เลิกสนใจกับจุดต่ำสุด แต่มองหาโอกาสที่จะได้รับผลประโยชน์จากวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อคุณตัดคำว่า “กลัว” ออกไปเท่านั้น
ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสรวมอยู่ด้วย เพียงโอกาสที่จะมาถึงนั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะต้องใช้เวลารอคอยมากน้อยเท่าใด บางคนก็เชื่อว่าภายในปีหน้า แต่บางคนก็มองว่าปีหน้าจะแย่ยิ่งกว่า บางคนก็บอกว่าอีก 2- 3ปี แต่บางคนก็ให้ไกลไปอีกถึง 3-5ปี อะไรต่ออะไรที่ดีๆจะกลับมา แต่ตอนนี้ – ปัจจุบันนี่ล่ะ?..มันยังไม่ใช่โอกาสที่ดีอีกหรือ โดยเฉพาะกับการลงทุนในระยะยาว !!!!ย้ำต้อเงินเย็นจริงๆ!!!! เพื่อหวังผลตอบแทนก้อนโตกลับมา แบบนี้ เรามาลองฟังความเห็นดีๆ ที่จะช่วยทำให้ความกลัวในจิตใจลดลงบ้างกันดีกว่า
เมื่อเร็วๆนี้ สุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย จำกัด ให้ความเห็นว่า วิกฤตการเงินสหรัฐฯ จะส่งผลหนักสุดในปี 2552 ซึ่งยังไม่สามารถประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกได้ และล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจโลก (จีดีพี) ในปี 2552 เหลือ 3% จากเดิม 3.9% แต่บริษัทประเมินว่าไอเอ็มเอฟ ยังมีแนวโน้มปรับลดตัวเลขจีดีพีลงอีก หากเศรษฐกิจโลกหดตัวต่ำกว่า 3%
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2552 ประเมินตัวเลขจีดีพี น่าจะเติบโตอยู่ที่เฉลี่ยไม่เกิน 3.3% ส่วนเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2551-2555 โดยตัวเลขจีดีพีจะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 4-6% ขณะที่จุดต่ำสุดของจีดีพีคาดว่าจะอยู่ในปี 2552 ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศชะลอตัว อัตราการว่างเงินเพิ่มสูงขึ้น รวมการส่งออกและการนำเข้าจะปรับตัวลดลง
ขณะที่ ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เคยให้ความเห็นว่า หลังจากบรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้ เริ่มนิ่งและไม่มีข่าวร้ายใหม่ๆ เข้ามาเป็นปัจจัยกดดันการลงทุนในตลาดหุ้นแล้ว จึงมองว่าช่วงนี้ น่าจะเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น สำหรับนักลงทุนที่มีเงินเย็นและสามารถลงทุนระยะยาวได้ โดยเฉพาะหุ้นที่มีคุณภาพ และพื้นฐานดี เพราะว่าหุ้นหลายตัวราคาปรับลดลงไปค่อนข้างมาก โดยมองว่าดัชนีหุ้นไทยเอง ไม่น่าจะลงไปต่ำกว่านี้อีกแล้ว ขณะเดียวกัน การลงทุนในหุ้นยังถือว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีอยู่
อย่างไรก็ตาม ในการลงทุนนั้น แนะนำว่านักลงทุนควรจะเลือกลงทุนตามความเสี่ยงที่ตัวเองสามารถรับได้ ถ้ารับความเสี่ยงได้ต่ำก็ไม่ควรลงทุนอะไรที่มีความเสี่ยงสูง ถึงแม้ว่าความเสี่ยงสูงจะให้ผลตอบแทนดี แต่หากมีช่วงที่ตลาดแย่ลงไปอีกครั้งก็อาจจะเกิดปัญหาได้ ส่วนนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงสูงได้ ก็แนะนำให้ลงทุนได้เลย
เช่นเดียวกับ พิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ที่เคยให้ความเห็นว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดทุนช่วงนี้ ถือว่าเป็นช่วงเวลาเหมาะสมกับการลงทุนสำหรับนักลงทุนระยะสั้น 1-3 ปี นักลงทุนที่มีเงินเย็นหรือมีสภาพคล่องสูง เนื่องจากความเสี่ยงในระบบนั้นลดลง ภาวะการลงทุนในตลาดเริ่มนิ่งและคลี่คลายลง โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารความเสียหายหรือการคาดการณ์ในอนาคตมีความชัดเจนขึ้น เชื่อว่าในไตรมาส 3 ของปี 2552 เศรษฐกิจของไทยน่าจะดีขึ้น โดยมาตรการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนของรัฐบาลน่าจะช่วยให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาน่าลงทุนได้ ซึ่งนักลงทุนบางกลุ่มก็มองเป็นโอกาสที่จะเก็บหุ้นที่มีพื้นฐานดีครั้งนี้
เมื่อได้ฟังความเห็นดีๆ จากผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้แล้ว คุณสามารถตัดความกลัวในใจได้หรือยัง เพราะเมื่อคุณทำได้แน่นอนว่าโอกาสดีๆ สำหรับผลตอบแทนที่ดีกำลังจะกลับมาหาคุณ แม้ว่าไม่ได้เป็นดังที่หวัง คุณก็ยังสามารถรับความเสี่ยงได้ส่วนหนึ่งหรือมีความเข้าใจกับมันได้ในอีกระดับหนึ่ง และเชื่อว่าคุณจะสามารถหาวิธีแก้ไขเรื่องดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่จำเป็นยิ่งและขาดไม่ได้สำหรับการเลือกลงทุน นั่นคือข้อมูลปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์นั้นๆที่คุณต้องการจะเข้าไปถือครอง เพราะถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ขาดไม่ได้ ควบควบคู่ไปความเข้าใจด้านการลงทุน โดยเมื่อคุณมีความรู้ ความเข้าใจ มีข้อมูลที่ดี และไม่มีความกลัวในใจแล้ว เชื่อว่า..โอกาสที่ดีนั้นก็อยู่ไม่ไกลมือคุณเช่นกัน