นักลงทุนต่างชาติกระหน่ำทิ้งหุ้นไทยกว่า 4.15 พันล้านบาท ฉุดดัชนีตลาดหุ้นดิ่ง 15 จุด "ภัทรียา" รับต่างชาติปรับพอร์ตรอดูงบสถาบันการเงินสหรัฐฯ งวดไตรมาส 2/51 ผวาผลกระทบซับไพรม์ ผสมความกังวลน้ำมันขึ้นหนุนเงินเฟ้อพุ่ง โบรกเกอร์ เผยนักลงทุนทิ้งหุ้น "บ้านปู" ราคาร่วง 48 บาท หลังราคาถ่านหินลด พร้อมประเมินดัชนีตลาดหุ้นผันผวนอีกระยะจนกว่ามีปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้น
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (2 ก.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงเช้าจากปัจจัยเดิมๆ คือ เรื่องของราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ระดับ 742.13 จุด สูงสุด 753.66 จุด ก่อนจะปิดที่ 742.15 จุด ลดลง 17.86 จุด หรือลดลง 2.35% มูลค่าการซื้อขาย 15,021.04 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายสุทธิออกมาเป็นจำนวนมากและต่อเนื่อง โดยนักลงทุนต่างประเทศมียอดขายสุทธิ 4,151.68 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 725.60 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 3,426.09 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยออกมาเป็นจำนวนมากและต่อเนื่อง เพื่อรอดูสถานการณ์และการประกาศงบการเงินของสถาบันการเงินต่างประเทศประจำไตรมาส 2/51 ว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ของสหรัฐอเมริกา รวมถึงทิศทางราคาน้ำมันดิบที่จะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อด้วย
"นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกมา ซึ่งจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่ามีการขนเงินออกนอกประเทศไปบ้างแล้ว แต่จากการติดตามพบว่าเม็ดเงินที่ไหลออกไปยังไม่ได้เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นใดเลย เพราะไม่มีตลาดหุ้นไหนปรับตัวเพิ่มขึ้น จากเม็ดเงินลงทุนที่ไหลออก ซึ่งขณะนี้นักลงทุนต่างประเทศยังคงรอประเมินสถานการณ์"
สำหรับกรณีที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นสูงและเป็นผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วยนั้น เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนพิจารณาแนวโน้มของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบจ. เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่เรื่องดังกล่าวจะกระทบกับทุกประเทศทั่วโลก
นางภัทรียา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยที่ซบเซาอาจมีผลทำให้เกิดการการชะลอการลงทุนเพื่อรอดูทิศทางและสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงไม่แน่ใจถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่เชื่อว่ายังมีนักลงทุนบางกลุ่มมีความสนใจกลับเข้าลงทุนในระดับราคาที่ต่ำและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ค่า P/E อยู่ที่ 12.85 เท่า อัตราผลตอบแทน (Yield) อยู่ที่ 3.87% ซึ่งถือเป็นอัตราส่วนที่น่าสนใจที่จะเข้ามาลงทุน
ส่วนปัจจัยด้านความขัดแย้งทางการเมืองนั้น ปัจจุบันอาจจะมีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยบ้าง แต่ลดน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา
"แม้นักลงทุนจะมีการเทขายต่อเนื่อง แต่ไม่เห็นว่าประเทศใดจะได้รับผลดีจากการขนเงินออกของนักลงทุนต่างชาติ และส่วนตัวแล้วเชื่อวันเมื่อถึงเวลาเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวจะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งหนึ่ง"
***ต่างชาติขายหุ้นบ้านปูหนัก
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลงมาก เกิดจากการที่ราคาถ่านหินปรับตัวลดลงแรงจึงมีการขายหุ้นบ้านปูออกมา โดยที่ผ่านมานั้นนักลงทุนต่างประเทศได้มีการขายหุ้นกลุ่มอื่นๆ มาออกมา และได้มีการซื้อหุ้นถ่านหินสะสมไว้จำนวนมาก เมื่อราคาถ่านหินปรับตัวลดลงมาจึงทำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นกลุ่มดังกล่าวออกมาเช่นกัน
***หุ้นไทยซึมรอปัจจัยใหม่กระตุ้น
นางวิริยา ลาภพรมหรัตน ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องตามตลาดหุ้นภูมิภาคจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 142-143 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้นักลงทุนกังวลในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยกดดันการลงทุนในตลาดหุ้นไทยทำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุนและนักลงทุนต่างประเทศยังมีขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ นักลงทุนขายบมจ. บ้านปู (BANBU) ออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาหุ้น BANPU ปรับตัวลดลงถึง 48 บาท และบมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาลดลง 10 บาทส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงกว่า 2% แต่เมื่อเทียบกับวันที่ 26 พ.ค. ซึ่งเป็นวันที่ดัชนีตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวลดลง พบว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแล้วกว่า 140 จุด และขณะนี้ดัชนีได้แกว่งตัวอยู่ใกล้จุดต่ำสุดเดิมที่ 737 จุดแล้ว
"แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนไปอีกระยะหนึ่งตามตลาดหุ้นภูมิภาค ราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ จนกว่าจะได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยใหม่ๆ ซึ่งหากนักลงทุนต้องการชะลอดูความชัดเจนนั้นควรที่จะถือเงินสดไว้ก่อน แต่จากที่ในช่วง 3 วันที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวลดลง 3% แล้วถือว่ามีโอกาสเข้าทำกำไร แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากตลาดหุ้นที่ผันผวน โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 737-740 จุด แนวต้านที่ระดับ 750-755 จุด"
***ลุ้นต่างชาติชะลอขายหุ้นไทย
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยลบเดิมๆ ทั้งเรื่องของราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะแย่กว่าครึ่งปีแรก โดยส่งผลให้นักลงทุนระยะกลางและยาวมีการขายหุ้นออกมาซึ่งเป็นลักษณะแบบเดียวกันทั่วโลก
"แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 5 หมื่นล้านบาท ถือเป็นปีแรกที่ต่างชาติขายสุทธิจากที่ผ่านมามีการซื้อสุทธิมาโดยตลาด แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสุทธิสะสม 2.6 แสนล้านบาท ทำให้ยังคงมีเม็ดเงินต่างชาติเหลืออยู่ถึง 2.1 แสนล้านบาท"
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (4 ก.ค.) ต้องติดตามการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ หากนักลงทุนคลายความกังวลไปบ้างจะทำให้ดัชนีแกว่งตัวขึ้นลงในช่วง 5 จุด แต่ตรงกันข้าอาจจะทำให้ดัชนีลดลงมากกว่า 10 จุดได้ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 730 จุด แนวต้านที่ระดับ 750 จุด
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (2 ก.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงเช้าจากปัจจัยเดิมๆ คือ เรื่องของราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ระดับ 742.13 จุด สูงสุด 753.66 จุด ก่อนจะปิดที่ 742.15 จุด ลดลง 17.86 จุด หรือลดลง 2.35% มูลค่าการซื้อขาย 15,021.04 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายสุทธิออกมาเป็นจำนวนมากและต่อเนื่อง โดยนักลงทุนต่างประเทศมียอดขายสุทธิ 4,151.68 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 725.60 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 3,426.09 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยออกมาเป็นจำนวนมากและต่อเนื่อง เพื่อรอดูสถานการณ์และการประกาศงบการเงินของสถาบันการเงินต่างประเทศประจำไตรมาส 2/51 ว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ของสหรัฐอเมริกา รวมถึงทิศทางราคาน้ำมันดิบที่จะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อด้วย
"นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกมา ซึ่งจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่ามีการขนเงินออกนอกประเทศไปบ้างแล้ว แต่จากการติดตามพบว่าเม็ดเงินที่ไหลออกไปยังไม่ได้เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นใดเลย เพราะไม่มีตลาดหุ้นไหนปรับตัวเพิ่มขึ้น จากเม็ดเงินลงทุนที่ไหลออก ซึ่งขณะนี้นักลงทุนต่างประเทศยังคงรอประเมินสถานการณ์"
สำหรับกรณีที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นสูงและเป็นผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วยนั้น เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนพิจารณาแนวโน้มของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบจ. เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่เรื่องดังกล่าวจะกระทบกับทุกประเทศทั่วโลก
นางภัทรียา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยที่ซบเซาอาจมีผลทำให้เกิดการการชะลอการลงทุนเพื่อรอดูทิศทางและสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงไม่แน่ใจถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่เชื่อว่ายังมีนักลงทุนบางกลุ่มมีความสนใจกลับเข้าลงทุนในระดับราคาที่ต่ำและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ค่า P/E อยู่ที่ 12.85 เท่า อัตราผลตอบแทน (Yield) อยู่ที่ 3.87% ซึ่งถือเป็นอัตราส่วนที่น่าสนใจที่จะเข้ามาลงทุน
ส่วนปัจจัยด้านความขัดแย้งทางการเมืองนั้น ปัจจุบันอาจจะมีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยบ้าง แต่ลดน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา
"แม้นักลงทุนจะมีการเทขายต่อเนื่อง แต่ไม่เห็นว่าประเทศใดจะได้รับผลดีจากการขนเงินออกของนักลงทุนต่างชาติ และส่วนตัวแล้วเชื่อวันเมื่อถึงเวลาเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวจะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งหนึ่ง"
***ต่างชาติขายหุ้นบ้านปูหนัก
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลงมาก เกิดจากการที่ราคาถ่านหินปรับตัวลดลงแรงจึงมีการขายหุ้นบ้านปูออกมา โดยที่ผ่านมานั้นนักลงทุนต่างประเทศได้มีการขายหุ้นกลุ่มอื่นๆ มาออกมา และได้มีการซื้อหุ้นถ่านหินสะสมไว้จำนวนมาก เมื่อราคาถ่านหินปรับตัวลดลงมาจึงทำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นกลุ่มดังกล่าวออกมาเช่นกัน
***หุ้นไทยซึมรอปัจจัยใหม่กระตุ้น
นางวิริยา ลาภพรมหรัตน ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องตามตลาดหุ้นภูมิภาคจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 142-143 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้นักลงทุนกังวลในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยกดดันการลงทุนในตลาดหุ้นไทยทำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุนและนักลงทุนต่างประเทศยังมีขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ นักลงทุนขายบมจ. บ้านปู (BANBU) ออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาหุ้น BANPU ปรับตัวลดลงถึง 48 บาท และบมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาลดลง 10 บาทส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงกว่า 2% แต่เมื่อเทียบกับวันที่ 26 พ.ค. ซึ่งเป็นวันที่ดัชนีตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวลดลง พบว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแล้วกว่า 140 จุด และขณะนี้ดัชนีได้แกว่งตัวอยู่ใกล้จุดต่ำสุดเดิมที่ 737 จุดแล้ว
"แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนไปอีกระยะหนึ่งตามตลาดหุ้นภูมิภาค ราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ จนกว่าจะได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยใหม่ๆ ซึ่งหากนักลงทุนต้องการชะลอดูความชัดเจนนั้นควรที่จะถือเงินสดไว้ก่อน แต่จากที่ในช่วง 3 วันที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวลดลง 3% แล้วถือว่ามีโอกาสเข้าทำกำไร แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากตลาดหุ้นที่ผันผวน โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 737-740 จุด แนวต้านที่ระดับ 750-755 จุด"
***ลุ้นต่างชาติชะลอขายหุ้นไทย
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยลบเดิมๆ ทั้งเรื่องของราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะแย่กว่าครึ่งปีแรก โดยส่งผลให้นักลงทุนระยะกลางและยาวมีการขายหุ้นออกมาซึ่งเป็นลักษณะแบบเดียวกันทั่วโลก
"แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 5 หมื่นล้านบาท ถือเป็นปีแรกที่ต่างชาติขายสุทธิจากที่ผ่านมามีการซื้อสุทธิมาโดยตลาด แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสุทธิสะสม 2.6 แสนล้านบาท ทำให้ยังคงมีเม็ดเงินต่างชาติเหลืออยู่ถึง 2.1 แสนล้านบาท"
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (4 ก.ค.) ต้องติดตามการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ หากนักลงทุนคลายความกังวลไปบ้างจะทำให้ดัชนีแกว่งตัวขึ้นลงในช่วง 5 จุด แต่ตรงกันข้าอาจจะทำให้ดัชนีลดลงมากกว่า 10 จุดได้ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 730 จุด แนวต้านที่ระดับ 750 จุด