ผู้จัดการรายวัน - ดัชนีตลาดหุ้นดิ่ง 23 จุด ตามตลาดหุ้นภูมิภาค ฉุดมาร์เกตแคปรูดต่ำกว่า 6 ล้านล้านบาท เหลือ แค่ 5.85 ล้านล้านบาท เหตุต่างชาติปรับพอร์ตลงทุนบอนด์แทนหุ้น รับแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นคุมกำเนิดอัตราเงินเฟ้อ บล.ทิสโก้ ชี้ราคาหุ้นร่วงแรงเร็วเบรกแรงขายฝรั่ง เหตุราคาหุ้นลดดลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก แนะช่วงนี้เหมาะเก็บหุ้น ด้าน "ภัทรียา" ติดตามการเมืองใกล้ชิด
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (19 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดต่อเนื่องเป็นไปตามตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวลดลงจากกังวลดอกเบี้ยขาขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนกดดันทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงความกังวลการเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันนี้
โดยระหว่างวันดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 741.47 จุด สูงสุด 760.26 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 742.46 จุด ลดลง 23.28 จุด หรือลดลง 3% มูลค่าการซื้อขาย 19,624.31 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ลดลงเหลือ 5.85 ล้านล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,137.41 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 390.25 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,747.16 ล้านบาท
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวในงานเสวนา "วิกฤตหรือโอกาสตลาดหุ้นไทยผ่านมุมมองนักวิเคราะห์ขั้นเซียน" ว่า จากการที่อัตราเงินเฟ้อถือว่าเป็นปัจจัยหลักในการทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง แต่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ซึ่งหากรวมกับกับดัชนีฯที่ลงตั้งแต่ต้นปีถึงในวานนี้ (19 มิ.ย.) ทำให้ตลาดหุ้นไทยลดลง 13-14% ขณะที่ตลาดหุ้นจีนลดลง 50% ตลาดหุ้นเวียดนามลดลง 60% และฮ่องกงลดลง 18%
ทั้งนี้ จากการที่ไทยมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาทำให้ค่าเงินบาทมีการอ่อนค่าลงทำให้มีเม็ดเงินทุนไหล และมีเม็ดเงินลงทุนไหลจากตลาดหุ้นเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ จากที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ผลผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตร(บอนด์ยิว)10 ปีขณะนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 6 % จาก 2 เดือนที่ผ่านมาที่ 4.6% นอกจากนี้จากปัจจัยทางด้านการเมืองไทยมีผลทำให้กองทุนต่างประเทศที่ไม่คุ้นเคยกับการเมืองของไทยทำให้มีการปรับพอร์ตการลงทุน
สำหรับการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงมาขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะกับการที่เข้าไปลงทุนแล้วจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามากกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว ซึ่งนักลงทุนสถาบันไทยเริ่มที่จะเข้ามาสุทธิแล้ว และเชื่อว่ากองทุนต่างประเทศที่มีลงทุนตามมูลค่าพื้นฐานนั้นอีกสักระยะก็จะกลับเข้ามาซื้อสุทธิ ซึ่งช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยกว่า 3 หมื่นล้านบาทแล้วถือว่าสูงมาก ซึ่งการที่ราคาหุ้นลงมาแรงและเร็วนั้นก็หยุดแรงขายได้ แต่จากต่างชาติขายออกมาสูงนั้นแต่การถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ระดับ 30%
"ดัชนีฯราคาหุ้นลงมาระดับถือว่าลงทุนจากราคาหุ้นลงมาเยอะต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว ซึ่งหากนักลงทุนที่มีเวลาถือหุ้น 3 เดือนขึ้นไปราคาหุ้นตอนนี้น่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุนโดยขณะนี้นักลงทุนสถาบันไทยก็เริ่มที่จะเข้ามาลงทุนแล้ว ซึ่งโอกาสที่ดัชนีจะต่ำกว่านี้เปล่า นั้นก็มีโอกาสที่จะลงได้ต่อ แต่เราไม่สามารถรู้ได้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ที่ตรงไหน ดังนั้นควรที่จะพิจารณาจากแวลู ซึ่งส่วนตัวคาดว่าดัชนีฯจะลงมาแตะที่ 730 จุด " นายไพบูลย์
อย่างไรก็ตามการประชุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะมีการเคลื่อนย้ายมาชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล หากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ก็คาดว่าคงจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก
ฝรั่งโยกเงินหุ้นลงทุนบอนด์
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นภูมิภาคและทั่วโลก จากการที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่มูลค่าหุ้นปรับตัวลดลง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติมีการปรับพอร์ตการลงทุนในหุ้นไปลงทุนในตลาดเงินมากขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่านักลงทุนต่างชาติที่เป็นนักลงทุนระยะยาวจะมีการขายหุ้นออกมา จากการที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีการชะตัว โดยคาดว่านักลงทุนต่างชาติจะใช้เวลาในการปรับพอร์ตอีกประมาณ 1 เดือน แต่ตลาดหุ้นไทยถือว่าปรับตัวลดลง 3.04% ซึ่งสูงกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคที่ลดลงประมาณ 2% จากการที่ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยในเรื่องทางการเมืองทำให้ตลาดหุ้นไทยลงกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากปัจจัยทางการเมืองที่จะมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯซึ่งหากนักลงทุนชะลอดูสถานการณ์คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวในลดลงหรือเพิ่มขึ้น 5 จุด แต่หากนักลงทุนมีความกังวลมาก็อาจจะทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 730 จุด ได้ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 730 จุด แนวต้านที่ระดับ 750 จุด
PTT-PTTEPราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน30%
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผุ้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ปัจจัยการเมืองถือว่าเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในช่วงนี้ และจากการที่อัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโดยรวมก็มีผลกับดัชนีฯเช่นกัน ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยอยู่ โดยทางเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรในปี2549นั้น และเกิดการปฏิวัติ P/E ปรับลดลงมาอยู่ที่ 9 เท่า ซึ่งขณะนี้ค่าP/E ตลาดหุ้นไทยวานนี้อยูที่ประมาณ 11 เท่า
ทั้งนี้จากการที่กลุ่มพันธมิตรฯมีการชุมนุมเชื่อว่าดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงต่อ แต่จะไม่แรง ทำให้ค่าP/Eอยู่ที่ประมาณ 10 เท่า ซึ่งอาจต่ำกว่า 700 จุดเล็กน้อย
"นักลงทุนต่างชาติมีการขายออกมามากสุด คือ ปตท.และปตท.สผ ซึ่งทำให้ราคาหุ้นขณะนี้ต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมแล้ว30% บ้านปู และ ไทยออยล์ ซึ่งขณะนี้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาเยอะเป็นโอกาสที่จะเข้าไป"นางภรณี กล่าว
จับตาสถานการณ์การเมืองใกล้ชิด
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า จากการที่กลุ่มพันธมิตรฯจะมีการชุมใหญ่ในวันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะติดตามดูสถานการณ์ทางการเมือง แต่คงไม่มีมาตรการอะไรออกมารองรับ ซึ่งเชื่อว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะคลี่คลายไม่เกิดความรุ่นแรงเกิดขึ้น และจากการที่ปัญหาเศรษฐกิจขณะนี้ ทั้งเรื่องของราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ทำให้การซื้อขายปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนชะลอดูสถานการณ์
ทั้งนี้ปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาที่กระทบทั้งภูมิภาค และนักลงทุนก็รอดูเพื่อประเมินสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยลบต่างๆ แต่จากพื้นฐานของตลาดฯ แล้ว เชื่อว่าเมื่อราคาหุ้นปรับลงมาถึงระดับพื้นฐาน นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนระยะยาวจะกลับเข้ามา
การเมืองคลี่คลายหุ้นขึ้น
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังร่วมงาน "The 5th Asia-Pacific New Markets Forum" ว่า ปัญหาการเมืองขณะนี้ได้กระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลง แต่หากปัญหาการเมืองคลี่คลายดีขึ้น ก็น่าจะกระทบต่อตลาดหุ้นน้อยลง จึงหวังว่าทุกฝ่ายจะร่วมกันแก้ไขปัญหา เพราะจากการไปร่วมประชุมกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ (จี 8) ทุกประเทศพูดถึงปัญหาราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ เป็นเรื่องหลักที่จะต้องหาทางแก้ไข ขณะที่ไทยเมื่อมีปัญหาการเมืองจึงได้รับแรงกดดันให้เกิดปัญหามากขึ้นถึง 2 เท่า หากยืดเยื้อจะทำให้ทุกอย่างไม่ดีขึ้น
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (19 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดต่อเนื่องเป็นไปตามตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวลดลงจากกังวลดอกเบี้ยขาขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนกดดันทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงความกังวลการเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันนี้
โดยระหว่างวันดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 741.47 จุด สูงสุด 760.26 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 742.46 จุด ลดลง 23.28 จุด หรือลดลง 3% มูลค่าการซื้อขาย 19,624.31 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ลดลงเหลือ 5.85 ล้านล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,137.41 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 390.25 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,747.16 ล้านบาท
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวในงานเสวนา "วิกฤตหรือโอกาสตลาดหุ้นไทยผ่านมุมมองนักวิเคราะห์ขั้นเซียน" ว่า จากการที่อัตราเงินเฟ้อถือว่าเป็นปัจจัยหลักในการทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง แต่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ซึ่งหากรวมกับกับดัชนีฯที่ลงตั้งแต่ต้นปีถึงในวานนี้ (19 มิ.ย.) ทำให้ตลาดหุ้นไทยลดลง 13-14% ขณะที่ตลาดหุ้นจีนลดลง 50% ตลาดหุ้นเวียดนามลดลง 60% และฮ่องกงลดลง 18%
ทั้งนี้ จากการที่ไทยมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาทำให้ค่าเงินบาทมีการอ่อนค่าลงทำให้มีเม็ดเงินทุนไหล และมีเม็ดเงินลงทุนไหลจากตลาดหุ้นเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ จากที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ผลผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตร(บอนด์ยิว)10 ปีขณะนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 6 % จาก 2 เดือนที่ผ่านมาที่ 4.6% นอกจากนี้จากปัจจัยทางด้านการเมืองไทยมีผลทำให้กองทุนต่างประเทศที่ไม่คุ้นเคยกับการเมืองของไทยทำให้มีการปรับพอร์ตการลงทุน
สำหรับการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงมาขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะกับการที่เข้าไปลงทุนแล้วจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามากกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว ซึ่งนักลงทุนสถาบันไทยเริ่มที่จะเข้ามาสุทธิแล้ว และเชื่อว่ากองทุนต่างประเทศที่มีลงทุนตามมูลค่าพื้นฐานนั้นอีกสักระยะก็จะกลับเข้ามาซื้อสุทธิ ซึ่งช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยกว่า 3 หมื่นล้านบาทแล้วถือว่าสูงมาก ซึ่งการที่ราคาหุ้นลงมาแรงและเร็วนั้นก็หยุดแรงขายได้ แต่จากต่างชาติขายออกมาสูงนั้นแต่การถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ระดับ 30%
"ดัชนีฯราคาหุ้นลงมาระดับถือว่าลงทุนจากราคาหุ้นลงมาเยอะต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว ซึ่งหากนักลงทุนที่มีเวลาถือหุ้น 3 เดือนขึ้นไปราคาหุ้นตอนนี้น่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุนโดยขณะนี้นักลงทุนสถาบันไทยก็เริ่มที่จะเข้ามาลงทุนแล้ว ซึ่งโอกาสที่ดัชนีจะต่ำกว่านี้เปล่า นั้นก็มีโอกาสที่จะลงได้ต่อ แต่เราไม่สามารถรู้ได้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ที่ตรงไหน ดังนั้นควรที่จะพิจารณาจากแวลู ซึ่งส่วนตัวคาดว่าดัชนีฯจะลงมาแตะที่ 730 จุด " นายไพบูลย์
อย่างไรก็ตามการประชุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะมีการเคลื่อนย้ายมาชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล หากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ก็คาดว่าคงจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก
ฝรั่งโยกเงินหุ้นลงทุนบอนด์
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นภูมิภาคและทั่วโลก จากการที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่มูลค่าหุ้นปรับตัวลดลง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติมีการปรับพอร์ตการลงทุนในหุ้นไปลงทุนในตลาดเงินมากขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่านักลงทุนต่างชาติที่เป็นนักลงทุนระยะยาวจะมีการขายหุ้นออกมา จากการที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีการชะตัว โดยคาดว่านักลงทุนต่างชาติจะใช้เวลาในการปรับพอร์ตอีกประมาณ 1 เดือน แต่ตลาดหุ้นไทยถือว่าปรับตัวลดลง 3.04% ซึ่งสูงกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคที่ลดลงประมาณ 2% จากการที่ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยในเรื่องทางการเมืองทำให้ตลาดหุ้นไทยลงกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากปัจจัยทางการเมืองที่จะมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯซึ่งหากนักลงทุนชะลอดูสถานการณ์คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวในลดลงหรือเพิ่มขึ้น 5 จุด แต่หากนักลงทุนมีความกังวลมาก็อาจจะทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 730 จุด ได้ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 730 จุด แนวต้านที่ระดับ 750 จุด
PTT-PTTEPราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน30%
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผุ้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ปัจจัยการเมืองถือว่าเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในช่วงนี้ และจากการที่อัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโดยรวมก็มีผลกับดัชนีฯเช่นกัน ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยอยู่ โดยทางเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรในปี2549นั้น และเกิดการปฏิวัติ P/E ปรับลดลงมาอยู่ที่ 9 เท่า ซึ่งขณะนี้ค่าP/E ตลาดหุ้นไทยวานนี้อยูที่ประมาณ 11 เท่า
ทั้งนี้จากการที่กลุ่มพันธมิตรฯมีการชุมนุมเชื่อว่าดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงต่อ แต่จะไม่แรง ทำให้ค่าP/Eอยู่ที่ประมาณ 10 เท่า ซึ่งอาจต่ำกว่า 700 จุดเล็กน้อย
"นักลงทุนต่างชาติมีการขายออกมามากสุด คือ ปตท.และปตท.สผ ซึ่งทำให้ราคาหุ้นขณะนี้ต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมแล้ว30% บ้านปู และ ไทยออยล์ ซึ่งขณะนี้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาเยอะเป็นโอกาสที่จะเข้าไป"นางภรณี กล่าว
จับตาสถานการณ์การเมืองใกล้ชิด
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า จากการที่กลุ่มพันธมิตรฯจะมีการชุมใหญ่ในวันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะติดตามดูสถานการณ์ทางการเมือง แต่คงไม่มีมาตรการอะไรออกมารองรับ ซึ่งเชื่อว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะคลี่คลายไม่เกิดความรุ่นแรงเกิดขึ้น และจากการที่ปัญหาเศรษฐกิจขณะนี้ ทั้งเรื่องของราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ทำให้การซื้อขายปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนชะลอดูสถานการณ์
ทั้งนี้ปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาที่กระทบทั้งภูมิภาค และนักลงทุนก็รอดูเพื่อประเมินสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยลบต่างๆ แต่จากพื้นฐานของตลาดฯ แล้ว เชื่อว่าเมื่อราคาหุ้นปรับลงมาถึงระดับพื้นฐาน นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนระยะยาวจะกลับเข้ามา
การเมืองคลี่คลายหุ้นขึ้น
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังร่วมงาน "The 5th Asia-Pacific New Markets Forum" ว่า ปัญหาการเมืองขณะนี้ได้กระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลง แต่หากปัญหาการเมืองคลี่คลายดีขึ้น ก็น่าจะกระทบต่อตลาดหุ้นน้อยลง จึงหวังว่าทุกฝ่ายจะร่วมกันแก้ไขปัญหา เพราะจากการไปร่วมประชุมกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ (จี 8) ทุกประเทศพูดถึงปัญหาราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ เป็นเรื่องหลักที่จะต้องหาทางแก้ไข ขณะที่ไทยเมื่อมีปัญหาการเมืองจึงได้รับแรงกดดันให้เกิดปัญหามากขึ้นถึง 2 เท่า หากยืดเยื้อจะทำให้ทุกอย่างไม่ดีขึ้น