xs
xsm
sm
md
lg

ฝรั่งขนเงินหนีตลาดหุ้นไทย พิษน้ำมัน-เงินเฟ้อพุ่งกระทบศก.โลกทรุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยอมรับผลตอบรับโรดโชว์ 3 ประเทศพลาดเป้า เผยระยะสั้นกองทุนต่างชาติยังไม่สนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย หลังภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวจากปัญหาราคาน้ำมันแพงกดดันเงินเฟ้อพุ่ง บวกกับภาวะดอกเบี้ยช่วงขาขึ้น ล่าสุดวานนี้ (16 มิ.ย.) นักลงทุนต่างชาติยังทิ้งของอีก 460 ล้านบาท "ภัทรียา" พอใจที่โบรกเกอร์งดปล่อยกู้ซื้อหุ้นบางบริษัทช่วงลดความเสี่ยงให้ลูกค้า

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง ผลจากการเดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ที่ประเทศสิงคโปร์ อังกฤษ และสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน 51 ที่ผ่านมา ว่า นักลงทุนต่างประเทศต่างให้ความสนใจเข้ารับฟังข้อมูลเป็นอย่างดี คือมีกองทุนเข้าร่วมทั้งสิ้น 85 แห่ง จำนวนผู้จัดการกองทุน 111 ราย

โดยประเด็นที่ผู้จัดการกองทุนให้ความสนใจสอบถามข้อมูลมี 3 ประเด็นหลัก คือ 1. เรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัญหาเงินเฟ้อ และการลงทุนในโครงการต่างๆ ของรัฐบาล 2. สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ และ 3. แนวโน้มการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนไทย

"นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจเข้ารับฟ้องข้อมูลจำนวนมาก แม้ภาพรวมการลงทุนช่วงนี้จะไม่ค่อยเอื้อต่อการลงทุน จากราคาน้ำมันสูงกระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น และกดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัว โดยนักลงทุนส่วนใหญ่จะให้ความสนใจซักถามเรื่องแนวโน้มธุรกิจของบริษัทที่เข้าร่วม ปัญหาเศรษฐกิจ รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองบ้าง โดยประเทศที่ถามเรื่องการเมืองมากสุดคือ สิงคโปร์ ที่อยู่ใกล้กับประเทศไทย"

สำหรับบริษัทจดทะเบียนเดินทางร่วมโรดโชว์ครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 14 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดกลาง หลังจากกองทุนเข้าพบแล้วทำให้มีความเข้าใจเรื่องภาวะบริษัทจดทะเบียนที่ชัดเจนขึ้น พร้อมได้เสนอแนะให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วยหามาตรการสนับสนุนการเพิ่มขนาดบริษัทจดทะเบียน การกระจายหุ้น และเพิ่มสภาพคล่องด้วย เพราะกองทุนจะเข้าไปลงทุนเฉพาะในบริษัทที่มีขนาดใหญ่ และมีความคล่องตัวในการเข้า-ถอนการลงทุนได้ง่าย

นางภัทรียา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงระยะสั้นๆ นี้ กองทุนต่างประเทศจะยังไม่กลับเข้ามาลงทุนในไทย เนื่องจากต้องพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ราคาน้ำมันที่จะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมถึงการแก้ไขปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ในสหรัฐฯ ยกเว้นในกรณีที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากแล้ว อาจจะทำให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วนกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เมื่อเห็นว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดี

"ระยะเวลาอันสั้นนี้ นักลงทุนต่างชาติคงจะไม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะต้องรอประเมินภาพรวมเศรษฐกิจ ทิศทางราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย แต่หากราคาหุ้นลดลงมามากอาจจะดึงความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาได้ อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจะดูไม่ค่อยดีนัก แต่อัตราผลตอบแทนเงินปันผลถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำหน้าที่โรดโชว์ข้อมูลเพื่อให้ความกระจ่างต่อนักลงทุนต่อไป" นางภัทรียากล่าว

ส่วนการที่บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) บางราย ไม่ปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้ายืมไปหุ้นบางบริษัท (เครดิตบาลานซ์) นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ฝ่ายโบรกเกอร์มีการช่วยกันดูแลในเรื่องการซื้อขาย และและลดความเสี่ยงให้แก่นักลงทุน ในการซื้อขายหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายสูง และเป็นเรื่องที่โบรกเกอร์ทุกรายจะต้องมีการตรวจสอบและระมัดระวัง

***ต่างชาติทิ้งหุ้นอีก 460 ล้านบาท
ด้านภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทยวานนี้ (16 มิ.ย.) ดัชนีปิดที่ 787.59 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.95 จุด คิดเป็น 0.63% โดยระหว่างวันดัชนีทำจุดสูงสุดที่ 789.18 จุด และมีจุดต่ำสุดที่ 782.64 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 14,281.48 ล้านบาท ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 459.27 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 401.57 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 57.70 ล้านบาท

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยบวกเล็กน้อยตามตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ตรงตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่ได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวลดลง หลังจากมีความกังวลว่าซาอุดิอาระเบียอาจเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อชะลอความร้อนแรงของราคาน้ำมัน ทำให้ความเกิดความกังวลว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบจะทรงตัวและลดลงในอนาคต

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแนวรับที่ 775 จุด และแนวต้านที่ 790 จุด โดยต้องติดตามปัจจัยเรื่องของทิศทางราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กระทบกับกลุ่มพลังงาน ส่วนปัจจัยอื่นๆ อาทิ การเมืองในประเทศ อัตราดอกเบี้ย คาดว่าในระยะสั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำขึ้นขาย ลงไม่ซื้อ เนื่องจากมองว่าระยะสั้นตลาดยังรับรู้ปัจจัยลบไม่หมด แม้จะมีการรีบาวน์กลับทางเทคนิคบ้าง แต่ยังไม่เห็นปัจจัยบวกที่ชัดเจน

นางสาววราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้คาดจะแกว่งตัวในกรอบ 780-795 จุด โดยปัจจัยที่ต้องติดตามยังคงเป็นราคาน้ำมันดิบ และทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากจะมีการประกาศผลประกอบการของสถาบันการเงินหลายแห่ง อาทิ เลห์แมน บราเธอร์ส และโกลแมนแซค เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลก สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ซื้อขายในกรอบ โดยกลุ่มที่แนะนำ คือ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มค้าปลีก เนื่องจากเป้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อน้อยกว่ากลุ่มอื่น

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยรีบาวน์กลับ เนื่องจากมองว่าที่กรอบ 770-780 จุด เป็นพื้นที่สำหรับสะสมหุ้น สำหรับนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว หลังดัชนีดูดซับปัจจัยลบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง อัตราเงินเฟ้อ มาพอสมควรแล้ว ประกอบกับเมื่อพิจารณาสถิติการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ ในช่วงเวลา 16 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีอยู่ 6 ปี ที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ ซึ่งมากที่สุดอยู่ในปี 37 ที่ประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท ซึ่ง ณ ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติขายมาแล้วประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท ทำให้เชื่อว่าแรงขายช่วงนี้จะเบาบางลง ทำให้ความกดดันจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติลดลง

ทั้งนี้ มองว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวบวกต่อเนื่อง แต่จะขยับได้ไม่ไกล เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ ยังกดดันตลาดอยู่ โดยประเมินแนวรับที่ 780 จุด แนวต้านที่ 800 จุด ในภาวะที่ดาวไซด์มีจำกัด-อัพไซด์เปิดกว้าง ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามยังเป็นเรื่องเดิมๆ ได้แก่ ราคาน้ำมันดิบ ตลาดหุ้นต่างประเทศ และการเมืองในประเทศ สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำทยอยซื้อสะสมสำหรับนักลงทุนระยะยาว กลุ่มที่น่าสนใจคือ กลุ่มส่งออก จากแนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่าลง
กำลังโหลดความคิดเห็น