นายกสมาคม บลจ. ยอมรับกองทุนเอฟไอเอฟได้รับผลกระทบจากปัญหาสหรัฐฯจนหลายโครงการต้องชะลอตัวออกไป ส่งผลให้ภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมชะลอตัว แต่คาดว่าช่วงสิ้นปีจะกลับมาคึกคักจากเม็ดเงินในกองทุนอาร์เอ็มและแอลทีเอฟที่เพิ่มขึ้น
นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคม บริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) และกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักจัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า จากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นขณะนี้ สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดนั้นคือเรื่องของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งการลงทุนในระยะสั้นน่าจะมีการขยับตัวลงมา ส่วนในประเทศไทยเองนั้นขณะนี้อัตราดอกเบี้ยยังคงทรงตัวอยู่ ซึ่งปัญหาดังกล่าวทางบลจ.ยังต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด
"ตอนนี้กองทุนรวมต่างประเทศ หรือเอฟไอเอฟ ยังคงน่าเป็นห่วง ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลายๆ บลจ.ต่างชะลอการออกกองทุนเอฟไอเอฟออกไป โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับตราสารหนี้ ซึ่งคาดว่ายังไม่มี บลจ. ไหนกล้าออกกองทุนประเภทดังกล่าวในช่วงนี้” นางวรวรรณ กล่าว
นางวรวรรณ กล่าวถึงเม็ดเงินลงทุนทั้งระบบ (เอยูเอ็ม) ในปี 2550 ที่ผ่านมา มีจำนวน 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 20% แต่ในปีนี้การเติบโตยังคงทรงตัวอยู่ โดยคาดว่าอุตสาหกรรมกองทุนรวมน่าจะมีความคึกคักมากขึ้นในช่วงสิ้นปีนี้และส่งผลให้อุตสาหกรรมกองทุนดีขึ้นจากการเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรืออาร์มเอ็มเอฟ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือแอลทีเอฟ
ด้านนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับผลกระทบของไทยจากปัญหาสหัรฐฯ ที่เกิดขึ้น ทำให้ทุกฝ่ายมีการระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบจากช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่จากปัญหาที่เกิดขึ้นยังคงส่งผลต่อตลาดหุ้นมากที่สุด
“ปัญหาเศรษฐกิจของอเมริกาทำให้เกิดการชะลอตัวของตัวเลขเศรษฐกิจในบ้านเราลดลงไปด้วย แต่โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าจากปัญหาดังกล่าวไม่ค่อยได้รับผลกระทบสักเท่าไหร่ และอาจจะมีการชะลอตัวหรือมีการเติบโตช้าลง แต่เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด แต่สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นปัญหาร้ายแรงมากที่สุดและน่าเป็นห่วงที่สุด คือ เรื่องของธนาคารต่างประเทศที่ยังคงมีผลเชื่อมโยงกันไปหมดโดยที่เราไม่สามารถทราบได้เลยว่าใครจะได้รับผลกระทบจากกับใครบ้าง เพราะปัญหาดังกล่าวมันสามารถเกิดได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งปัญหาตรงนี้ถือว่ามีความเสี่ยงมากที่สุด” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า อุตสาหกรรมกองทุนรวมยังคงมีการเติบโตได้อีก เพราะจากที่สถาบันประกันเงินฝากได้เริ่มออกใช้ นักลงทุนได้เริ่มกระจายการลงทุนมายังกองทุนรวมมากขึ้น แต่การลงทุนในกองทุนรวมส่วนตัวอยากให้นักลงทุนมองในระยะยาว ถึงจะให้ผลตอบแทนที่ดีตามมา
ขณะที่ นายธีระ ภู่ตระกูล กรรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้มีที่เดียวที่ล้มลายนั้นคือเลห์แมน บาร์เธอร์ส แต่ธนาคารอื่นๆ ยังไม่ได้ล้มละลายซึ่งอาจจะมีเพียงการเปลี่ยนผู้บริหาร เปลี่ยนบริษัทหรือเปลี่ยนผู้ถือหุ้นไปเท่านั้น ซึ่งจะเป็นกรณีเหมือนปลาใหญ่ที่มากินปลาเล็กนั่นเอง
“ปัญหาไครซิสที่สหรัฐฯ ควรเข้ามาแก้ไขเร่งด่วน โดยเฉพาะเรื่องของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ล้มละลายลงไป สหรัฐจะทำอย่างไรให้คนมั่นใจกับคืนมา ต้องพยายามทำให้ตรงนี้สงบให้ได้ก่อน รวมถึงเรื่องอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรจากราคากันเกินไป ซึ่งต้องเข้ามาแก้ไข แต่เชื่อว่าไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ” นายธีระกล่าว
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจกองทุนรวมนั้นมีการเติบโตอยู่ตลาด เพราะจะเห็นได้ว่ามีการเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราจะเห็นเม็ดเงินตรงนี้มีการเติบโตอยู่อย่างต่อเนื่อง