บลจ.บัวหลวงยันความพร้อมรับช่วง"ไอเอ็นจี"บริหาร"กองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทคอน" ชูผลประโยชน์ในระยะยาวของผู้ถือหน่วยลงทุนรอบด้าน "วรวรรณ" ยืนยันไม่กระทบผู้ถือหน่วยลงทุนเดิม และจะจ่ายเงินชดเชยให้ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการกองทุนก่อน 5 ปี ขณะเดียวกัรเตรีมดึงมืออาชีพเข้าร่วมงาน เสริมทัพรับมือการเติบโตของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยถึงความพร้อมในการบริหารจัดการกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) ว่า หลังจากที่บลจ.บัวหลวง รับช่วงต่อการบริหารจัดการอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ก.ค. 2551 ขณะนี้ บลจ.บัวหลวง มีความพร้อมในทุกด้าน อีกทั้งขอให้คำยืนยันกับผู้ถือหน่วยลงทุนถึงความมั่นใจในการบริหารจัดการกองทุนดังกล่าว พร้อมทั้งจะทำหน้าที่ในการให้บริการแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างดียิ่ง ด้วยศักยภาพด้านการ สนับสนุนจากเครือข่ายธนาคารกรุงเทพกว่า 800 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งบริษัทในเครือที่จะให้บริการแก่ลูกค้าของธนาคารได้เป็นอย่างดีและครบวงจร
สำหรับนโยบายหลักในการบริหาร TFUND จะคำนึงถึงผลประโยชน์ในระยะยาวของผู้ถือหน่วยลงทุนรอบด้าน โดยบลจ.บัวหลวง มีนโยบายที่จะขยายขนาดและเพิ่มผลตอบแทนของกองทุน ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับผลประโยชน์หลายประการ ได้แก่ การเพิ่มขนาดกองทุนจะทำให้สภาพคล่องการซื้อขายหน่วยลงทุนของ TFUND ในตลาดมีสภาพคล่องมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของผู้ถือหน่วยลงทุนได้ ประกอบกับทำให้กองทุนมีการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น
ทั้งนี้สินทรัพย์ของกองทุนมีมากขึ้นเเละยังกระจายอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง มีลูกค้าหลากหลายและมีรายได้สม่ำเสมอมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้โอกาสในการสร้างผลตอบแทนของกองทุนที่ดีขึ้น ทั้งจากการซื้อทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีความยืดหยุ่นในการบริหารและสร้างกำไรจากการขายโรงงาน เนื่องจากกองทุนสามารถขายโรงงานที่ถือครองอยู่ เพื่อทำกำไรและนำเงินที่ได้ไปซื้อโรงงานใหม่ เพื่อปล่อยเช่าและสร้างรายได้ต่อไป
“เรามีความพร้อมในการบริหารกองทุนไทคอนครั้งนี้อย่างเต็มที่ บลจ.บัวหลวงมีประสบการณ์ในการบริหารกองทุนอสังหาริมทรัพย์ มาเป็นระยะเวลานานหลายปี โดยส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนที่จำหน่ายให้กับผู้ลงทุนสถาบัน ทั้งเอ็มโพเรียม บางกอก การ์เด้นท์ และอาคารสาธรซิตี้ ทาวเวอร์ อีกทั้ง ล่าสุดเรายังมีผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในด้านการบริหารกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เข้าร่วมงานกับองค์กรในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจกองทุนอสังหาฯ โดยเฉพาะอีกด้วย” นางวรวรรณ กล่าว
ก่อนหน้านี้รายงานข่าวระบุว่าหนังสือชี้ชวนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอนได้กำหนดไว้แล้วว่าภายในระยะเวลา 5 ปี ถ้ามีเหตุให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบริษัทจัดการโดยที่บริษัทจัดการเดิมไม่ได้ทำความเสียหาย กองทุนจะต้องจ่ายเงินค่าบริหารจัดการเต็มจำนวนระยะเวลา 5 ปี ซึ่งในส่วนของบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ได้บริหารจัดการ TFUND มาเป็นระยะเวลาประมาณ 3 ปี คงเหลือระยะเวลาตามกำหนดอีกประมาณ 2 ปีที่กองทุนจะต้องจ่ายเงินค่าบริหารจัดการให้แก่บลจ.คิดเป็นวงเงินประมาณ 16 ล้านบาท
นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า การเปลี่ยนแปลงผู้จัดการกองทุน ก่อนครบกำหนด 5 ปี นั้น ทางบลจ.บัวหลวง มีนโยบายชัดเจนที่จะทำให้การเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนในครั้งนี้ ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้ถือหน่วยลงทุน โดยที่บลจ.บัวหลวงจะจ่ายชดเชยเงินค่าปรับดังกล่าวแทนกองทุน
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยถึงความพร้อมในการบริหารจัดการกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) ว่า หลังจากที่บลจ.บัวหลวง รับช่วงต่อการบริหารจัดการอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ก.ค. 2551 ขณะนี้ บลจ.บัวหลวง มีความพร้อมในทุกด้าน อีกทั้งขอให้คำยืนยันกับผู้ถือหน่วยลงทุนถึงความมั่นใจในการบริหารจัดการกองทุนดังกล่าว พร้อมทั้งจะทำหน้าที่ในการให้บริการแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างดียิ่ง ด้วยศักยภาพด้านการ สนับสนุนจากเครือข่ายธนาคารกรุงเทพกว่า 800 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งบริษัทในเครือที่จะให้บริการแก่ลูกค้าของธนาคารได้เป็นอย่างดีและครบวงจร
สำหรับนโยบายหลักในการบริหาร TFUND จะคำนึงถึงผลประโยชน์ในระยะยาวของผู้ถือหน่วยลงทุนรอบด้าน โดยบลจ.บัวหลวง มีนโยบายที่จะขยายขนาดและเพิ่มผลตอบแทนของกองทุน ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับผลประโยชน์หลายประการ ได้แก่ การเพิ่มขนาดกองทุนจะทำให้สภาพคล่องการซื้อขายหน่วยลงทุนของ TFUND ในตลาดมีสภาพคล่องมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของผู้ถือหน่วยลงทุนได้ ประกอบกับทำให้กองทุนมีการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น
ทั้งนี้สินทรัพย์ของกองทุนมีมากขึ้นเเละยังกระจายอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง มีลูกค้าหลากหลายและมีรายได้สม่ำเสมอมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้โอกาสในการสร้างผลตอบแทนของกองทุนที่ดีขึ้น ทั้งจากการซื้อทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีความยืดหยุ่นในการบริหารและสร้างกำไรจากการขายโรงงาน เนื่องจากกองทุนสามารถขายโรงงานที่ถือครองอยู่ เพื่อทำกำไรและนำเงินที่ได้ไปซื้อโรงงานใหม่ เพื่อปล่อยเช่าและสร้างรายได้ต่อไป
“เรามีความพร้อมในการบริหารกองทุนไทคอนครั้งนี้อย่างเต็มที่ บลจ.บัวหลวงมีประสบการณ์ในการบริหารกองทุนอสังหาริมทรัพย์ มาเป็นระยะเวลานานหลายปี โดยส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนที่จำหน่ายให้กับผู้ลงทุนสถาบัน ทั้งเอ็มโพเรียม บางกอก การ์เด้นท์ และอาคารสาธรซิตี้ ทาวเวอร์ อีกทั้ง ล่าสุดเรายังมีผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในด้านการบริหารกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เข้าร่วมงานกับองค์กรในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจกองทุนอสังหาฯ โดยเฉพาะอีกด้วย” นางวรวรรณ กล่าว
ก่อนหน้านี้รายงานข่าวระบุว่าหนังสือชี้ชวนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอนได้กำหนดไว้แล้วว่าภายในระยะเวลา 5 ปี ถ้ามีเหตุให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบริษัทจัดการโดยที่บริษัทจัดการเดิมไม่ได้ทำความเสียหาย กองทุนจะต้องจ่ายเงินค่าบริหารจัดการเต็มจำนวนระยะเวลา 5 ปี ซึ่งในส่วนของบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ได้บริหารจัดการ TFUND มาเป็นระยะเวลาประมาณ 3 ปี คงเหลือระยะเวลาตามกำหนดอีกประมาณ 2 ปีที่กองทุนจะต้องจ่ายเงินค่าบริหารจัดการให้แก่บลจ.คิดเป็นวงเงินประมาณ 16 ล้านบาท
นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า การเปลี่ยนแปลงผู้จัดการกองทุน ก่อนครบกำหนด 5 ปี นั้น ทางบลจ.บัวหลวง มีนโยบายชัดเจนที่จะทำให้การเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนในครั้งนี้ ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้ถือหน่วยลงทุน โดยที่บลจ.บัวหลวงจะจ่ายชดเชยเงินค่าปรับดังกล่าวแทนกองทุน
