xs
xsm
sm
md
lg

บัวหลวงมองศก.ไทยโตจากภายใน ส่งกอง”IN-RMF”ลงหุ้นโครงสร้างพื้นฐาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บัวหลวงเชื่อหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานอนาคตแจ่ม ปัจจัยหนุนเพียบทั้งการใช้จ่ายภาครัฐ เมกะโปรเจกต์ เตรียมเข็นกองทุนใหม่”IN-RMF” ไอพีโอถึง 21 พ.ค. เน้นลุยหุ้นที่เกี่ยวข้อง ทั้งน้ำมัน อสังหาฯ และวัสดุก่อสร้าง ระบุความเสี่ยงสูงแต่ยิลด์ที่ได้จะสูงด้วยเช่นกัน มั่นใจลงทุนระยะยาวให้ผลตอบแทนดี เหตุการขยายตัวของประเทศจะต้องพึ่งพาการลงทุน และบริโภคภายในมากขึ้น หลังเศรษฐกิจโลกชะลอตัวกระทบการส่งออก
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง (บลจ.บัวหลวง) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมที่จะทำการเปิดเสนอขายกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพกองใหม่ ได้แก่ กองทุนเปิดบัวหลวงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเลี้ยงชีพ เพื่อให้เป็นทางเลือกกับผู้ลงทุนที่ต้องการเน้นการลงทุนระยะยาวในหุ้นเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ในระหว่างวันที่ 7-21 พฤษภาคม 2551 นี้
สำหรับกองทุนนี้จะมีนโยบายการลงทุนในตราสารแห่งทุนของบริษัทซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจไทย โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เช่น บริษัทในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ วัสดุก่อสร้าง ขนส่งและโลจิสติกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
“เดิมเรามีกองทุนเปิดบัวหลวงโครงสร้างพื้นฐาน ที่ได้รับความนิยมจากผู้ลงทุนเป็นอย่างมากและสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จึงนำนโยบายการลงทุนในธุรกิจกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานมาปรับใช้กับกองทุน RMF ที่ต้องลงทุนระยะยาว โดยปรับเปลี่ยนนโยบายบางส่วนให้สอดคล้องกับภาวะการลงทุนในปัจจุบันให้มากขึ้น”นางวรวรรณกล่าว
นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า การลงทุนในกองทุนนี้จะได้รับปัจจัยหนุนจาก การที่ในปัจจุบันเศรษฐกิจโดยรวมของโลกประสบปัญหาด้านเสถียรภาพจากราคาน้ำมันและสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ทั้งจากปัญหาภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจากปัญหาซับไพรม์
ทั้งนี้ ทำให้ภาครัฐและและเอกชนส่วนใหญ่เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยนับจากนี้ไปจะต้องเติบโตจากปัจจัยการขยายตัวภายในประเทศเป็นหลัก ตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนในระยะยาว โดยเฉพาะในส่วนของการลงทุนทางด้านสาถารณูปโภค และปัจจัยพื้นฐานต่างๆ รวมถึงนโยบายของภาครัฐบาลที่มีการออกมาตรกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาภายในประเทศ ทำให้การลงทุนภาคการผลิต และในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชนได้ชะลอตัวลง ทำให้เชื่อว่ารัฐบาลจะหันกลับมาทบทวนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ด้วยเช่นกัน
“ตัวเลขการลงทุนในประเทศเราหากดูจากงบขาดดุลที่รัฐนำมาใช้ยังมีช่องว่างของเม็ดเงินที่จะต้องนำมาลงทุนอีก โดยเมื่อดูแล้วในอุตสาหกรรมอย่างเคมีคอล น้ำมัน วัสดุอุปกรณืก่อสร้าง กำลังการผลิตจะต้องปรับเพิ่มด้วยการ นอกจากนี้เม็ดเงินที่บีโอไออนุมัติ แต่ยังลงทุนใหม่ ไม่มีการลงทุนก็มีอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้เชื่อว่าน่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนในหุ้นของกองทุนนี้
ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจขยายตัวจากการส่งออก แต่จากนี้ไปเชื่อว่าจะตัวขับเคลื่อนเปลี่ยนเป็นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศเป็นหลัก โดยการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นจาก การลงทุนในสินค้าทุนเพิ่มขึ้น
นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า การลงทุนในกองทุนนี้นักลงทุนจะต้องไม่หวั่นไหวกับความผันผวนของตลาด เนื่องจากกองทุนนี้จะมีความผัวผวนอยู่มาก เนื่องจากเป็นกองทุนประเภทเซคเตอร์ฟันด์ จึงจะมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของการลงทุน
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกองทุนนี้นอกจากจะมีความเสี่ยงที่สูงแล้ว ผลตอบแทนที่ได้ก็น่าจะสูงกว่ากองทุนประเภทอื่นเช่นกัน โดยหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนในกองทุนลักษณะเดียวกันของบริษัทที่ตั้งขึ้นก่อนหน้าอย่าง กองทุนเปิดบัวหลวงโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 47.04% ย้อนหลัง 3ปีอยู่ที่ 71.89% และย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 366.30% ก็น่าจะมีผลตอบแทนในระดับเดียวกัน
สำหรับสัดส่วนการลงทุนของกองทุนนี้ คงจะเน้นหนักไปในหุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคป ขนาดใหญ่และมีการเติบโตสูงประมาณ 13% ขณะที่หุ้นในกลุ่มการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโต 11% หุ้นในกลุ่มขนส่งและโดลจิสติกส์มีอัตราการเติบโต 10% และหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้างมีอัตราการเติบโดรประมาณ 5%
กำลังโหลดความคิดเห็น