xs
xsm
sm
md
lg

ประเทศชาติสำคัญกว่าพวกพ้องความหวังที่อยากฝากถึง"ครม.สมชาย1/1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เห็นหน้าคาดตากันไปเรียบร้อยเเล้ว สำหรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)ใหม่ ภายใต้นายกรัฐมนตรีที่ชื่อว่า "สมชาย วงศ์วสวัสดิ์"...โดยผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่ประจำกระทรวงต่างๆ หลายคนตระโกนร้อง "ยี้" เพราะ "ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลสมัครเลย"...แถมความเหมาะสมต้องแต่ละกระทรวง ไม่รู้ใช่อะไรเป็นมาตรฐาน แต่อย่างที่เรารู้กันอยู่แล่วนั่นแหละว่า จัดสรรตามโควต้า...เท่านั้น

และหน้าตารัฐบาลชุดนี้ จะเป็นอย่างไรในสายตานักวิชาการเเละผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ พร้อมทั้งผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.) วันนี้ ทีมงาน "ผู้จัดการกองทุนรวม" มีมุมมองมาฝากกัน

รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะรัฐประศาสนศาสตร์ (GSPA) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มองว่า งานสิ่งแรกที่รัฐบาลชุดใหม่จะต้องทำคือ เร่งสร้างความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนและภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศกลับคืนมา โดยนายกฯ จะต้องมีการฟอร์มทีมที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งทีม เพื่อเข้ามาดูแลให้คำแนะนำ และติดตามนโยบายต่างๆ ที่ต้องเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้เห็นภาพของการให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของไทยเป็นอันดับแรก เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจของไทยยังมีความเสี่ยงอีกหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาวิกฤติการเงินสหรัฐที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งนี้ หากดูถึงทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ที่ประกอบด้วย นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.อุตสาหกรรม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ เมื่อเทียบกับทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนายสมัคร ถือว่าชุดนี้มีประสบการณ์ในการทำงานที่ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสังเกตคือ ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ มีนายโอฬาร ไชยประวัติ เท่านั้น ที่มีความเชี่ยวชาญภาคการเงิน ดังนั้น ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ควรหาทีมที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องภาคการเงินเข้ามา เพื่อรับมือกับปัญหาวิกฤติการเงินของสหรัฐที่มีความซับซ้อนและยากที่จะใช้เพียงเครื่องมือทางภาคการคลังเข้ามาแก้ไขปัญหาเท่านั้น

นอกจากนี้ ทีมเศรษฐกิจ จะต้องเร่งผลักดันแผนและยุทธศาสตร์ในการลงทุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาคต่างๆ โดยจะต้องมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวที่จะดำเนินการที่ชัดเจน พร้อมกับเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2552 เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยใช้การลงทุนภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อกระจายเงินไปสู่ภาคการผลิต ภาคการเงินและภาคเกษตร เพื่อสร้างเกราะคุ้มกันเศรษฐกิจไทยให้มีความแข็งแรง ในการรองรับกับปัจจัยลบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2552 โดยเฉพาะในเรื่องของการส่งออก ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงทีมเศรษฐกิจของ ครม.สมชาย 1 ว่า น่าเป็นห่วง เนื่องจากมีคนนอกที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ 2 คน คือ นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี และนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ส่วนกระทรวงเศรษฐกิจอื่นยังเป็นฝ่ายการเมือง จึงอยากแนะนำรัฐบาลว่าควรเร่งหาทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจไม่ว่ากระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งผลักดันให้ไทยเป็นประเทศที่น่าเข้ามาลงทุน

ธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า ตามรายงานของที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) ระบุว่า ประเทศไทยถือว่าล้าหลังเมื่อเทียบกับประเทศมาเลเซีย โดยปีนี้ไทยไม่ติด 1 ใน 15 ประเทศที่น่าลงทุนของโลก แพ้ประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย เพราะที่ผ่านมาไทยไม่มีกลยุทธ์โดดเด่นที่จะให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนและมีปัญหาการเมือง

"รัฐบาลต้องมีการวางกลยุทธ์ผลักดันให้ไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน โดยระยะเวลาที่เหลือปีนี้จะต้องมีความชัดเจนในเรื่องโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ (เมกะโปรเจกต์) ควรจะประกาศให้ทั่วโลกรับรู้ว่าไทยมีการลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามาลงทุน ซึ่งจะเป็นเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลจะต้องผนึกกำลังและสร้างกลยุทธ์จูงใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน เพื่อจะได้วางกรอบเศรษฐกิจไทยปีหน้าว่าจะเติบโตอย่างไร"

ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. อยุธยาหรือเอวายเอฟ ให้ความเห็นว่า ครม.เศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ไม่ได้เปลี่ยนเเปลงจากของรัฐบาลสมัย นายสมัครเท่าไร เพราะตอนนี้ปัจจัยการเมืองที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ถือว่ายังส่งผลน้อยกว่าปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา เเละที่สำคัญนักลงทุนทั้งในประเทศเเละต่างประเทศเริ่มเข้าใจการเมืองไทยบ้างเเล้ว

เเต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องหาวิธีการดึงนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจของสหรัฐกำลังอ่อนเเรงลง ซึ่งทำให้นักลงทุนที่มองหาภูมิภาคเเละประเทศใหม่ที่ให้ผลตอบเเทนที่ดีกว่า ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในทางเลือกของนักลงทุน เเต่ปัญหาสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต้องชะลอการลงทุนมาจากพัฒนาการของตลาดทุนเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านของเราในหลลายประเทศ

ประภาส ยังแนะนำอีกว่า ต่างประเทศเช่น ฮ่องกง สิงค์โปร อินโดนีเซีย มีมาตรการลดภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไป แต่ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจัง

จารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส บลจ. แอสเซท พลัส จำกัด มองว่า ต้องให้เวลากับรัฐบาลชุดนี้เพื่อพิสูจน์การทำงานซึ่งที่ผ่านมาเราต้องยอมรับมาตรการของนายก สมัคร เป็นเพียงมาตรการเเก้ไขระยะสั้นเท่านั้น อยากให้รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวบ้าง

"อยากจะขอฝากให้รัฐบาลช่วยดูแลตลาดทุน ช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดี เพราะนักลงทุนที่เคยลงทุนในอเมริกาหรือที่อื่น กำลังมองประเทศที่มีการลงทุนที่ดี ซึ่งภูมิภาคเอเชียก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกของนักลงทุน ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้น เเต่ถ้าสถานการณ์ยังไม่ไดีขึ้น จะทำให้นักลงทุนเลือกลงทุนประเทศอื่นเเทนประเทศไทย" จารุลักษณ์ กล่าว

ขณะที่เเหล่งข่าวจากเเวดวงการเงินการลงทุนหลายราย มองว่า การที่รัฐบาลไม่ได้เอาคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำ งานบริหารประเทศตั้งเเต่รัฐบาลสมัย นายสมัคร สุนทรเวช ก็เเย่พออยู่เเล้ว ที่จับหมอกับพยาบาล มานั่งกระทรวงการคลัง ซึ่งรัฐบาลเห็นเเก่พวกพ้อง เเต่ไม่มองปัญหาของประเทศอย่างเเท้จริง เเบ่งเค้กกันอย่างสนุกสนาน ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของประเทศเสียหายมาตั้งเเต่สมัยรัฐบาลสมัครเเล้ว ทำให้นักธุรกิจทั้งเเวดวงการเงินการลงทุน หรือเเวดวงอื่นๆรับไม่ได้กับการทำงานที่ผ่านมา ซึ่งครม.ชุดนี้ก็ไม่ได้เป็นความหวังหรือมาสร้างความหวังให้กับพวกเขา

เเหล่งข่าวยังบอกอีกว่า ทางเลือกที่ดีคือรัฐบาลต้องเเสดงความรับผิดชอบโดยการลาออก พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้คนดีมีความสามารถเข้ามาบริหารประเทศเเละพัฒนาประเทศให้มั่นคงต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น