กระบี่ - ภาคเอกชนกระบี่ ตอบรับ “อภิสิทธิ์” นั่งนายกฯ คนที่ 27 ฝากเร่งแก้เศรษฐกิจ และความไม่สงบโดยเร็ว ย้ำต้องลบภาพความเชื่องช้า และไม่เอื้อประโยชน์แก่พวกพ้อง
นายวัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ ประธานคณะกรรมการบริหารหอการค้าจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า จากที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา วันนี้ (15 ธ.ค.) ได้มีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้ถูกเสนอชื่อ 2 คน คนที่ 1 ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 2 พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จากพรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งผลจากการโหวตปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ ได้รับคะแนนสนับสนุนจากกลุ่ม ส.ส.จำนวน 235 เสียง ชนะ พล.ต.อ.ประชา ที่ได้คะแนนสนับสนุน 198 เสียง ซึ่งก็เป็นไปตามที่ทุกภาคส่วนได้คาดหวังกันไว้ตั้งแต่ก่อนการเปิดประชุม ที่เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนขั้วในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อเข้ามาบริหารฟื้นฟูประเทศ ที่กำลังย่ำแย่ ทั้งด้านสังคม และเศรษฐกิจ
ประธานคณะกรรมการบริหารหอการค้าจังหวัดกระบี่ กล่าวอีกว่า จากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ในเบื้องต้นภาคเอกชนก็เริ่มมีความหวัง ว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยคงจะฟื้นคืนมา เนื่องจากทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ มีความรู้ความสามารถอยู่หลายคน ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน และสิ่งแรกเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว จะต้องทำเร่งด่วนก็คือ 1.การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ 2.ความโปร่งใสในการบริหารประเทศ อย่าเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวกจะต้องเห็นประโยชน์ของชาติเป็นหลัก 3.ต้องแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชาติและความไม่สงบของ 3 จังหวัดชายแดนใต้
“ขอฝากนายกฯคนใหม่ต้องกล้าในการตัดสินใจ และตัดสินใจด้วยความรวดเร็ว เพราะพรรคประชาธิปัตย์ภาพที่ผ่านมาเชื่องช้า ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เป็นคนหนุ่ม ควรจะกล้าตัดสินใจ และทำในสิ่งที่ถูกต้อง เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี จะต้องลบภาพดังกล่าวออกไป ซึ่งจะทำให้เรียกความเชื่อมั่นจากภาคเอกชน และต่างประเทศกลับคืนมา”
ประธานหอการค้ากระบี่ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของผู้ที่ไม่เห็นด้วย หรือกลุ่มเสื้อแดง ที่ขู่ว่าจะมีการรวมกลุ่มต่อต้านนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ ก็สามารถทำได้แต่ต้องไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย และเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ เพราะที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ ได้ออกข่าวว่า จะเป็นนายกของคนทั้งประเทศ ไม่เฉพาะภาคหนึ่งภาคใดเท่านั้น ก็เชื่อว่าจะทำให้กระแสการต่อต้านลดลงได้ เพราะฉะนั้นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปต้องเร่งแสดงฝีมือให้ทุกภาคส่วนได้เห็นว่า ไม่เข้ามาเพราะคนกลุ่มใดหรือภาคใด โดยการบริหารประเทศให้ประชาชนทุกภาคของไทย มีความผาสุก แล้วตอนนั้นก็จะทำให้กลุ่นคนที่ต่อต้านเบาบางและสลายไปในที่สุด
นายวัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ ประธานคณะกรรมการบริหารหอการค้าจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า จากที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา วันนี้ (15 ธ.ค.) ได้มีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้ถูกเสนอชื่อ 2 คน คนที่ 1 ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 2 พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จากพรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งผลจากการโหวตปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ ได้รับคะแนนสนับสนุนจากกลุ่ม ส.ส.จำนวน 235 เสียง ชนะ พล.ต.อ.ประชา ที่ได้คะแนนสนับสนุน 198 เสียง ซึ่งก็เป็นไปตามที่ทุกภาคส่วนได้คาดหวังกันไว้ตั้งแต่ก่อนการเปิดประชุม ที่เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนขั้วในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อเข้ามาบริหารฟื้นฟูประเทศ ที่กำลังย่ำแย่ ทั้งด้านสังคม และเศรษฐกิจ
ประธานคณะกรรมการบริหารหอการค้าจังหวัดกระบี่ กล่าวอีกว่า จากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ในเบื้องต้นภาคเอกชนก็เริ่มมีความหวัง ว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยคงจะฟื้นคืนมา เนื่องจากทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ มีความรู้ความสามารถอยู่หลายคน ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน และสิ่งแรกเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว จะต้องทำเร่งด่วนก็คือ 1.การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ 2.ความโปร่งใสในการบริหารประเทศ อย่าเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวกจะต้องเห็นประโยชน์ของชาติเป็นหลัก 3.ต้องแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชาติและความไม่สงบของ 3 จังหวัดชายแดนใต้
“ขอฝากนายกฯคนใหม่ต้องกล้าในการตัดสินใจ และตัดสินใจด้วยความรวดเร็ว เพราะพรรคประชาธิปัตย์ภาพที่ผ่านมาเชื่องช้า ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เป็นคนหนุ่ม ควรจะกล้าตัดสินใจ และทำในสิ่งที่ถูกต้อง เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี จะต้องลบภาพดังกล่าวออกไป ซึ่งจะทำให้เรียกความเชื่อมั่นจากภาคเอกชน และต่างประเทศกลับคืนมา”
ประธานหอการค้ากระบี่ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของผู้ที่ไม่เห็นด้วย หรือกลุ่มเสื้อแดง ที่ขู่ว่าจะมีการรวมกลุ่มต่อต้านนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ ก็สามารถทำได้แต่ต้องไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย และเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ เพราะที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ ได้ออกข่าวว่า จะเป็นนายกของคนทั้งประเทศ ไม่เฉพาะภาคหนึ่งภาคใดเท่านั้น ก็เชื่อว่าจะทำให้กระแสการต่อต้านลดลงได้ เพราะฉะนั้นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปต้องเร่งแสดงฝีมือให้ทุกภาคส่วนได้เห็นว่า ไม่เข้ามาเพราะคนกลุ่มใดหรือภาคใด โดยการบริหารประเทศให้ประชาชนทุกภาคของไทย มีความผาสุก แล้วตอนนั้นก็จะทำให้กลุ่นคนที่ต่อต้านเบาบางและสลายไปในที่สุด
