คอลัมน์คุยกับผู้จัดการกองทุน
ณัฐพัชร์ ลัคนาธรรมพิชิต
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บีที จำกัด
0-2686-9500
“การประยุกต์ใช้ Earning Yield Gap จะช่วยให้ท่านผู้อ่านสามารถประเมินช่วงเวลาที่จะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นได้อย่างเหมาะสม” เป็นคำส่งท้ายของบทความ การประยุกต์ใช้ Fed Model เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2551 ในวันนี้อยากจะขอนำกราฟที่แสดงการเคลื่อนไหวของดัชนี SET และ ค่า Earning Yield Gap (EYG) ที่ปรับใช้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 5 ปีแทนที่จะเป็นอายุ 10 ปี เพราะสภาพคล่องของพันธบัตรมีมากกว่า
ณ สิ้นวันที่ 18 กันยายน 2551 ดัชนี SET มีค่าอัตราส่วน P/E เท่ากับ 9.11 หรือ Earnings Yield (E/P) เท่ากับ 1/9.11 = 10.98% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 5 ปีมีค่า 4.44% ทำให้มีค่าส่วนต่าง หรือ EYG เท่ากับ 6.54% ซึ่งได้ลดลงจากวันวานที่มีค่าเท่ากับ 6.72% (ค่าสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี) กราฟแสดงเป็นยอดแหลม ถ้าดูข้อมูลย้อนหลังจะพบว่า หลายครั้งที่เกิดยอดแหลม ดัชนี SET จะเกิดจุดต่ำสุด (Bottom) ด้วย เช่น เมื่อ 24 ม.ค. 51 EYG มียอดแหลมเกิดขึ้นที่ 3.40% และดัชนี SET ก็ต่ำสุดในช่วงนั้นด้วยที่ 728.58
ในรอบนั้น EYG ได้ลดลงมาต่ำสุดที่ 2.04% เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 51 และหลังจากนั้น 3 วัน ดัชนี SET ก็ ได้ทำจุดสูงสุด (Peak) ในช่วงนั้นที่ 845.76 จากช่วงเวลาดังกล่าว EYG ที่ลดลง 1.36% มีผลมาจากการที่ดัชนี SET เพิ่มสูงขึ้นถึง 16% ในรอบนี้ ถ้าประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้งหนึ่งและผู้ลงทุนได้ร่วมซื้อลงทุนไปในวันที่ดัชนี SET หลุดระดับ 600 จุด ระหว่างชั่วโมงซื้อขายแล้ว ก็น่าจะปล่อยให้กำไรงอกเงยต่อไป (Let Profit Run) ก่อน แล้วรอดูว่าเมื่อไรที่เกิดจุดต่ำสุดของ EYG จึงค่อยขายทำกำไรออกไป (Take Profit)
นอกจากนี้ หากหันมาดูตัวชี้วัดด้านเทคนิค (Technical Indicators) ประกอบด้วย จะพบว่ากราฟรายสัปดาห์ ดัชนี SET ได้ปรับตัวลดลงจนมาแตะกรอบล่างของ Bollinger Band สมบูรณ์พร้อมที่จะปรับตัวขึ้นได้ และจะเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนที่ Modified Stochastic ค่า %K ได้ตัดค่า %D ขึ้นซึ่งเกิดเป็นสัญญาณซื้อตามหลักการ โดยมีแนวต้านอยู่ที่ระดับ 666 และ 707 จุดตามลำดับ
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน” “ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต”
ณัฐพัชร์ ลัคนาธรรมพิชิต
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บีที จำกัด
0-2686-9500
“การประยุกต์ใช้ Earning Yield Gap จะช่วยให้ท่านผู้อ่านสามารถประเมินช่วงเวลาที่จะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นได้อย่างเหมาะสม” เป็นคำส่งท้ายของบทความ การประยุกต์ใช้ Fed Model เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2551 ในวันนี้อยากจะขอนำกราฟที่แสดงการเคลื่อนไหวของดัชนี SET และ ค่า Earning Yield Gap (EYG) ที่ปรับใช้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 5 ปีแทนที่จะเป็นอายุ 10 ปี เพราะสภาพคล่องของพันธบัตรมีมากกว่า
ณ สิ้นวันที่ 18 กันยายน 2551 ดัชนี SET มีค่าอัตราส่วน P/E เท่ากับ 9.11 หรือ Earnings Yield (E/P) เท่ากับ 1/9.11 = 10.98% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 5 ปีมีค่า 4.44% ทำให้มีค่าส่วนต่าง หรือ EYG เท่ากับ 6.54% ซึ่งได้ลดลงจากวันวานที่มีค่าเท่ากับ 6.72% (ค่าสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี) กราฟแสดงเป็นยอดแหลม ถ้าดูข้อมูลย้อนหลังจะพบว่า หลายครั้งที่เกิดยอดแหลม ดัชนี SET จะเกิดจุดต่ำสุด (Bottom) ด้วย เช่น เมื่อ 24 ม.ค. 51 EYG มียอดแหลมเกิดขึ้นที่ 3.40% และดัชนี SET ก็ต่ำสุดในช่วงนั้นด้วยที่ 728.58
ในรอบนั้น EYG ได้ลดลงมาต่ำสุดที่ 2.04% เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 51 และหลังจากนั้น 3 วัน ดัชนี SET ก็ ได้ทำจุดสูงสุด (Peak) ในช่วงนั้นที่ 845.76 จากช่วงเวลาดังกล่าว EYG ที่ลดลง 1.36% มีผลมาจากการที่ดัชนี SET เพิ่มสูงขึ้นถึง 16% ในรอบนี้ ถ้าประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้งหนึ่งและผู้ลงทุนได้ร่วมซื้อลงทุนไปในวันที่ดัชนี SET หลุดระดับ 600 จุด ระหว่างชั่วโมงซื้อขายแล้ว ก็น่าจะปล่อยให้กำไรงอกเงยต่อไป (Let Profit Run) ก่อน แล้วรอดูว่าเมื่อไรที่เกิดจุดต่ำสุดของ EYG จึงค่อยขายทำกำไรออกไป (Take Profit)
นอกจากนี้ หากหันมาดูตัวชี้วัดด้านเทคนิค (Technical Indicators) ประกอบด้วย จะพบว่ากราฟรายสัปดาห์ ดัชนี SET ได้ปรับตัวลดลงจนมาแตะกรอบล่างของ Bollinger Band สมบูรณ์พร้อมที่จะปรับตัวขึ้นได้ และจะเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนที่ Modified Stochastic ค่า %K ได้ตัดค่า %D ขึ้นซึ่งเกิดเป็นสัญญาณซื้อตามหลักการ โดยมีแนวต้านอยู่ที่ระดับ 666 และ 707 จุดตามลำดับ
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน” “ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต”
