คอลัมน์ จับกระแสลงทุนกับอเบอร์ดีน
ประการที่ 5 การลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่นั้นมีความเสี่ยงสูง แต่ไม่ซับซ้อน
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นวิกฤติที่เกิดขึ้นกับค่าเงินเปโซของเม็กซิโก ตราสารหนี้รัสเซีย และค่าเงินสกุลเอเชียต่าง ๆ จากวิกฤติที่กล่าวมา หรือจากเหตุผลอื่นเพิ่มเติม ทำให้เกิดความเข้าใจว่า เศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่นั้นมีความเสี่ยงสูงมาก ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากวิธีการลงทุนของนักลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ไม่ใช่ตัวตลาดเอง แน่นอนว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่มีความผันผวนมากกว่าตลาดที่พัฒนาแล้ว แต่การเข้าลงทุนเฉพาะในช่วงที่ตลาดเฟื่องฟู (bull markets) นั้นเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการพลาดโอกาสการลงทุนในวงจรของหุ้นซึ่งหากเริ่มลงทุนตั้งแต่ระยะแรกๆ อาจจะมีผลกำไร
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อที่ว่าบริษัทในตลาดเกิดใหม่นั้นมีความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ท้าทายในตัวมันเอง งบดุลของทั้งระดับประเทศและรายบริษัทโดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ดี และบรรษัทภิบาลกำลังพัฒนาดีขึ้น แม้ว่าจะเป็นไปอย่างช้า ๆ หากเปรียบเทียบกับบริษัทแถบยุโรปและอเมริกาที่มีการอนุมัติค่าใช้จ่ายของผู้บริหารสูงอย่างไม่น่าเชื่อ อาจทำให้นักลงทุนสรุปได้ว่าการพัฒนาของบรรษัทภิบาลในกลุ่มตลาดเกิดใหม่นั้นค่อนข้างเร็วกว่า ขณะที่มาตรฐานของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นเสื่อมลง
แต่การให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่มากกว่าดัชนี ไม่ได้ทำให้เกิดอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าโดยตรง ในความเป็นจริง สิ่งที่สำคัญและมีประสิทธิภาพมากกว่าสัดส่วนการลงทุนคือรูปแบบการลงทุนซึ่งควรพิจารณาจากคุณภาพของบริษัทก่อนปัจจัยเศรษฐกิจ ขณะที่บริษัทในกลุ่มตลาดที่พัฒนาแล้วเปรียบเหมือนนักวิ่งแข่งระยะ 100 เมตร ที่พยายามเข้าเส้นชัยในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน แต่บริษัทในกลุ่มตลาดเกิดใหม่เหมือนนักวิ่งมาราธอน ที่ต้องแข่งขันในระยะยาว ซึ่งบางบริษัทอาจจะวิ่งไม่ถึงเส้นชัย อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงอาจไม่ได้ส่งผลให้ทุกบริษัทเติบโตในอัตราเดียวกัน แต่อาจจะสามารถแยกได้ว่าบริษัทใดมีศักยภาพ
อีกด้านหนึ่งของการลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่อาจมีความท้าทายน้อยกว่า เนื่องจากกระบวนการคัดสรรบริษัทนั้นๆ อาจจะง่ายกว่า หรือง่ายกว่า ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นของกลุ่มตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มที่จะด้อยประสิทธิภาพมากกว่า ทำให้การประเมินมูลค่าที่ผิดพลาดพบได้บ่อยกว่าตลาดพัฒนาแล้ว อาจพบราคาหุ้นที่มีราคาไม่เหมาะสมเป็นระยะเวลาหลายเดือน หรือหลายปีก็เป็นได้ ดังนั้นนักลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ต้องมีวินัยและความอดทน เราจึงต้องลงทุนในระยะยาว
ถึงอย่างนั้นก็ตามการลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่อาจไม่เหมาะกับทุกคน จำนวนของบริษัทในกลุ่มตลาดเกิดใหม่มีจำนวนมาก ประกอบกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอีกมากมาย ทำให้ผู้ลงทุนจำเป็นต้องมีแหล่งข้อมูลที่ดี และทีมวิเคราะห์ที่มีความสามารถสูง กระบวนการที่เกี่ยวข้องเชิงนิติกรรม เช่นการวิเคราะห์งบบัญชีนั้นสำคัญมาก และไม่ควรนำแถลงการณ์จากฝ่ายบริหารของบริษัทมาเป็นบรรทัดฐาน การสอบสวนคดีที่ขึ้นอยู่กับการสอบปากคำพยานเพียงอย่างเดียว ย่อมนำไปสู่การพิพากษาที่ล้มเหลว แต่หลักฐานที่เห็นเด่นชัดต่างหากที่สำคัญ
ประการที่ 6 ความผันผวนคืออันตราย
ต้องขอขอบคุณ แฮร์รี่ มาร์โควิทซ์ และผู้บุกเบิกทฤษฎีการจัดพอร์ตการลงทุนสมัยใหม่ ซึ่งใช้ระบบการวัดความเสี่ยงที่แม่นยำทำให้ทฤษฎีของเขาได้ผล เราถูกสอนให้คำนึงถึงความเสี่ยงร่วมกับค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทนที่ผ่านมา การวัดเชิงปริมาณที่อ้างอิงถึงความผันผวน มักใช้เป็นตัวแปรที่เราคาดเดาได้ในภาวะปกติ แต่จริงหรือไม่ที่ความผันผวนนั้นมีความเสี่ยง? การที่ปีกของเครื่องบินลู่ลมไปมาท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรปรวนก็เพื่อลดแรงปะทะ ความผันผวนในตลาดหุ้นและหุ้นก็เช่นกัน แน่นอน การบินท่ามกลางสภาพอากาศแปรปรวนรุนแรง เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ แต่ในบางครั้งคุณไม่มีทางเลือก นอกจากนั่งนิ่ง ๆ อยู่กับที่และภาวนาให้ถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย แต่ในโลกของการลงทุน ทุกครั้งที่เห็นการขยับขึ้นลงแม้เพียงเล็กน้อยก็แทบไม่มีสิ่งใดที่สามารถห้ามไม่ให้คุณถอนตัวจากการลงทุน เนื่องจากเราใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ ดังนั้นคุณต้องพยายามยอมรับความผันผวน เพราะหุ้นคงไม่ขึ้นหากปราศจากความผันผวน ความเสี่ยงที่ทำให้เรานอนไม่หลับไม่น่าจะมีสาเหตุจากความผันผวน แต่น่าจะมีสาเหตุจากการขาดความต่อเนื่องของความผันผวนอย่างรวดเร็วมากกว่า เป็นคำกล่าวที่โดนัลด์ รัมสเฟลด์ นิยามว่า “ผู้ไม่รู้ ย่อมไม่รู้”
นอกจากนี้ ความผันผวนยังนำมาซึ่งโอกาสที่ผู้จัดการกองทุนหุ้นทั่วโลกสามารถวิเคราะห์ตลาดได้ในระยะยาว ทำให้ผู้จัดการกองทุนสามารถขายหุ้นได้เมื่อราคาหุ้นขึ้น และซื้อหุ้นเพิ่มได้เมื่อราคาหุ้นตก โดยมีพื้นฐานบนการลงทุนระยะยาว
ประการที่ 7 การจัดการกองทุนเชิงรุกคือความถี่สูงในการซื้อขายหุ้น
การจัดการกองทุนเชิงรุก ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ต่างจากกลยุทธ์การลงทุนเชิงรับ ไม่มีการรับประกันว่าการจัดการกองทุนเชิงรุกจะมีผลการดำเนินการที่ดีกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของกองทุนที่มีการบริหารจัดการเชิงรุกในตลาดส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งสร้างความได้เปรียบให้กับกองทุนที่ลงทุนอิงดัชนี ผู้จัดการกองทุนเชิงรุกหลายท่านพยายามบริหารงานให้มีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเกณฑ์มาตรฐานโดยการคาดการณ์ทิศทางตลาดในระยะสั้น (3 – 6 เดือน) และดำเนินการซื้อขายหุ้น ทำให้มีการซื้อขายหุ้นบ่อย วิธีนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ต้นทุนแพงขึ้น แต่มีแนวโน้มที่จะมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน แม้ไม่มีค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการทำรายการซื้อขายหุ้นก็ตาม การคาดการณ์ทิศทางตลาดในระยะสั้นอาจดูเหมือนเป็นวิธีการที่ชาญฉลาด แต่ความเคลื่อนไหวของตลาดตามกรอบเวลานั้นส่วนใหญ่ไม่มีแบบแผน
อย่างไรก็ตาม หลายกองทุนบริหารโดยปฎิบัติตามพื้นฐานนี้ พิจารณาได้จากอัตราเฉลี่ยของความถี่ในการซื้อขายหุ้นของกองทุนในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 100% ต่อปี เปรียบเทียบกับอัตราเฉลี่ยเพียง 20% เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ซึ่งจากการศึกษาของเครดิต สุเอซ พิสูจน์ให้เห็นได้ว่า กองทุนรวมของสหรัฐฯที่มีอัตราความถี่ในการซื้อขายหุ้นต่ำกว่า 20% นั้นจะมีผลการดำเนินการที่ดีกว่ากองทุนที่มีอัตราความถี่ในการซื้อขายหุ้นมากกว่า 100% อยู่ประมาณมากกว่า 3% ต่อปี ซึ่งเท่ากับ 34% ในช่วงเวลา 10 ปี
ผู้จัดการการลงทุนเชิงรุกไม่จำเป็นต้องซื้อขายหุ้นเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น แต่ควรถือหุ้นที่ให้ความมั่นใจสูงเพื่อการลงทุนในระยะยาว การไม่ทำอะไรเลยในสถานการณ์ที่ตลาดปรับตัวลงอาจเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดในเชิงรุก
ประการที่ 8 จุดมุ่งหมายคือการบริหารให้หุ้นทุกตัวมีผลการดำเนินงานที่ดี
จุดมุ่งหมายที่จะทำให้หุ้นทุกตัวมีผลการดำเนินงานที่ดีในเวลาเดียวกันนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือการมีผลการดำเนินงานโดยรวมที่ดีเมื่อเวลาผ่านไป กองทุนแวลู ทรัสต์ ของ บิล มิลเลอร์ มีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าดัชนี S&P ตลอดระยะเวลา 15 ปีติดต่อกัน ถึงแม้ว่ากองทุนนี้ไม่สามารถทำผลการดำเนินงานให้ดีกว่าดัชนีได้เมื่อปีที่แล้วเป็นครั้งแรกก็ตาม แต่ในช่วงเวลา 15 ปีนั้น หุ้นจำนวนหนึ่งมีผลประกอบการที่ไม่ดี และเขาก็ไม่ได้พยายามที่จะบริหารให้กองทุนมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าดัชนีทุกๆปี คล้ายๆ กับการตีกอล์ฟ ยิ่งพยายามตีให้ถูกลูกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะตีพลาดเท่านั้น มันจะดีกว่าถ้าเราใช้ไม้กอล์ฟตีลูก และปล่อยให้ผลที่ตามมาจากการตีลูกเป็นไปตามนั้น แทนที่จะให้ความตั้งใจกับมันมากเกินไป
นอกจากนี้การลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่สัมพันธ์กัน ช่วยเพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนในระยะยาวซึ่งหมายความว่าราคาของลดลง ในขณะที่หุ้นตัวอื่น ๆ ปรับขึ้น
คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน