ทิสโก้เข็นกองทุนใหม่"ออยล์ ลิ้งค์ ฟันด์" ชูจุดเด่นจ่ายผลตอบแทนอิงราคาน้ำมันทั้งขึ้นและลง เตรียมไอพีโอ 18-26 กันยายนนี้ ระบุโอกาสรับยิลด์มากกว่าเสมอตัว หลังราคาน้ำมันปรับตัวอยู่ในกรอบที่ตั้งไว้สูงกว่า 70% ในช่วงที่ผ่านมา พร้อมคาดราคาน้ำมันอาจปรับตัวลดลงมากขึ้น หลังดีมานประเทศกลุ่มบริคเริ่มลด และเฮดจ์ฟันด์ต้องปรับเปลี่ยนการลงทุนใหม่ตามความต้องการดังกล่าว
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่ความไม่แน่นอนในการลงทุนทั้งภายในและภายนอกประเทศยังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทจำเป็นที่จะต้องมองหาเครื่องมือการลงทุนใหม่ๆ ที่คาดว่าจะเป็นโอกาสดีในช่วงนี้ และเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ยังให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันได้ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน
ทั้งนี้ บริษัทจึงได้เตรียมเปิดขาย"กองทุนเปิด ทิสโก้ ออยล์ ลิ้งค์ ฟันด์" (TISCO Oil Link Fund) ในระหว่างวันที่ 18-26 กันยายนนี้ โดยจะเป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (สตรัคเจอร์โน้ต) ที่อายุประมาณ 1 ปี 15 วัน และจะจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent Crude Oil) ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย
สำหรับจุดเด่นของกองทุนนี้ จะมีความแตกต่างจากกองทุนอื่นๆ ที่มักจะอ้างอิงกับการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันเพียงอย่างเดียว โดยจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าราคาน้ำมันจะขึ้นหรือลงอีกด้วย
“กองนี้จะดีกว่าคือมันได้ 2 ขาขึ้น 20% ก็ได้ 20% หรือถ้าราคามันลง 20% ก็ได้ 20% ซึ่งกองธรรมดาที่ผ่านมายิลด์ที่คาดจะอยู่ประมาณ 8-9% แต่กองทุนนี้จะมีอัพไซด์ได้สูงถึง 30% ตามกรอบที่ตั้งไว้ และที่ผ่านมาสถิติของความผันผวนที่อยู่ในกรอบของราคาน้ำมันที่ตั้งไว้จะมีโอกาสทำได้ถึง 70%”นายธีรนาถกล่าว
อย่างไรก็ตาม การวัดผลตอบแทนจะต้องอยู่ในกรอบที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นไม่เกิน 30% หรือลดลงไม่เกิน 30% เท่านั้นในระหว่างอายุโครงการ โดยหากราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนท์แกว่งตัวอยู่นอกช่วงที่กำหนด (เปลี่ยนแปลงเกิน +/- 30%) ณ สิ้นวันใดวันหนึ่งในช่วงอายุตราสาร ผู้ลงทุนจะได้รับชำระคืนเงินต้นโดยไม่มีผลตอบแทนเพิ่มเติม
นายธีรนาถ กล่าวอีกว่า การคืนเงินต้นเต็มจำนวนของกองทุนนี้จะอยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย แต่นักลงทุนยังจะมีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ที่ไม่ได้ทำการป้องกันวัน ณ วันลงทุน ซึ่งจะทำให้เงินต้นที่ได้คืนเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้เช่นกัน จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่า การลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียในปัจจุบันจะเป็นช่วงที่ได้เปรียบของนักลงทุน เนื่องจากค่าเงินในสกุลดังกล่าวเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทในปัจจุบันมีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งในอนาคตน่าจะมีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นได้เมื่อเทียบกับเงินบาท
“ที่เลือกลงทุนในดอลลาร์ออสเตรเลียเพราะค่าเงินเขาอ่อนลงมาพอสมควร และอัตราดอกเบี้ยก็ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้เงินที่นำไปลงสามารถซื้อออปชั่นได้เยอะขึ้น นอกจากนี้เศรษฐกิจของออสเตรเลียที่อยู่ในเกณฑ์ดี และมีความสัมพันธ์กับสินค้าโภคภัณฑ์ระดับหนึ่ง เพราะเป็นผู้ส่งออกทั้งน้ำมันและถ่านหิน จึงเป็นไปได้ที่ค่าเงินจะปรับขึ้นได้ในอนาคต”นายธีรนาถกล่าว
ด้าน นายพิชา รัตนธรรม หัวหน้าจัดการลงทุนธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า การลงทุนในกองนี้น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งความผันผวนของราคาน้ำมันที่ผ่านมาจะอยู่ที่ 10-20% แต่จะมีบางในบ้างกรณีอย่างเช่นในปีที่ผ่านมามีการปรับตัวเกินกรอบ 30% จากการใช้น้ำมันที่สูงขึ้น และการเก็งกำไรของเฮดจ์ฟันด์
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของราคาน้ำมันต่อจากนี้อีก 1 ปีน่าจะมีการปรับตัวลดลงได้ เนื่องจากดีมานที่แท้จริงของการบริโภคอย่างในประเทศจีน อินเดีย มีการปรับตัวลดลงแล้ว อีกทั้งเฮดจ์ฟันด์เองก็ยังมีการปรับเปลี่ยนการลงทุนในน้ำมันด้วย โดยคาดว่าราคาคงจะไม่ปรับตัวสูงสุดเหมือนที่เคยเป็นมา
“ราคาน้ำมันคงจะไม่ถึงนิวไฮ หรือเกินกรอบ 30% ที่ตั้งไว้ ซึ่งนักลงทุนส่วนมากกลัวในด้านนี้ โดยดีมานในกลุ่ม บริค เองก็ได้ลดลงมาแล้ว และราคาที่เราลงก็น่าสนใจเพราะอยู่ในระดับที่เกิน 100 ดอลลาร์/บาร์เรลล์ พอสมควร และในอนาคตคงไม่ปรับเพิ่มเกินกรอบ 30% แต่นักลงทุนที่จะลงกองทุนนี้ก็ควรที่จะมองในรูปแบบเดียวกันด้วย”นายพิชากล่าว