ที่ผ่านมาคอลัมณ์“Mutual Fund IPO”แนะนำกองทุนใหม่ที่ลงทุนในต่างประเทศมามากพอสมควรแล้ว โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมัน และทองคำ ซึ่งมีทั้งการลงทุนในตราสารหนี้ และลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนที่คาดการณ์ไว้ส่วนใหญ่จะเป็นไปในแนวโน้มที่เป็นบวก สำหรับการจ่ายผลตอบแทน กล่าวคือ นักลงทุนจะมองถึงความเป็นไปได้ที่ สินค้าเหล่านั้นจะปรับขึ้นราคาภายหลังจากที่มีการลงทุนไปนั่นเอง
แต่กองทุนใหม่ที่จะแนะนำในวันนี้อย่าง"กองทุนเปิด ทิสโก้ ออยล์ ลิ้งค์ ฟันด์"นั้นจะแตกต่างจากที่เคยมีมาก่อน ซึ่งลักษณะพิเศษของมันคือ”ขึ้นก็ได้ลงก็ได้”...ถึงตรงนี้แล้วหลายคนอาจสงสัยว่าเป็นไปได้จริงหรือ ที่ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลงก็ตาม แต่นักลงทุนยังได้รับผลตอบแทนอยู่?
ธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด บอกกับเราว่า กองทุนนี้เป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง หรือ สตรัคเจอร์โน้ต ซึ่งมีอายุประมาณ 1 ปี 15 วัน
โดยการจ่ายผลตอบแทนนั้นจะอ้างอิงกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent Crude Oil) ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย
ขอแตกต่างที่ว่า”ลงก็ได้ขึ้นก็ได้นั้น”มีเงื่อนไขอยู่ว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นในทุกสภาวะตลาดนั้นจะต้องอยู่ในกรอบที่ตั้งไว้คือราคาน้ำมันปรับขึ้นไม่เกิน 30% หรือลดลงไม่เกิน 30% เท่านั้นในระหว่างอายุโครงการ โดยหากราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนท์แกว่งตัวอยู่นอกช่วงที่กำหนด (เปลี่ยนแปลงเกิน +/- 30%) ณ สิ้นวันใดวันหนึ่งในช่วงอายุตราสาร ผู้ลงทุนจะได้รับชำระคืนเงินต้นโดยไม่มีผลตอบแทนเพิ่มเติม
“กองนี้จะดีกว่าคือมันได้ 2 ขาขึ้น 20% ก็ได้ 20% หรือถ้าราคามันลง 20% ก็ได้ 20% ซึ่งกองธรรมดาที่ผ่านมายิลด์ที่คาดจะอยู่ประมาณ 8-9% แต่กองทุนนี้จะมีอัพไซด์ได้สูงถึง 30% ตามกรอบที่ตั้งไว้"
นับเป็นเครื่องมือในการลงทุนที่ดีอีกชิ้นหนึ่ง แต่ทว่าเมื่อดูโอกาสการปรับตัวลงของราคาน้ำมัน ทั้งเรื่องของดีมาน และซับพลาย รวมถึงปริมาณน้ำมันที่ประเมิณกันว่าจะหมดลงในอีก 40 ปีข้างหน้านั้น นักลงทุนคงกังวลว่า ราคาน้ำมันจะปรับลงในกรอบถึงกว่า 30% คงเป็นไปได้อยาก แต่ขาขึ้นเกินกว่า 30% ต่างหากที่น่ากังวล เพราะในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาราคาน้ำมันก็ปรับตัวสูงขึ้นกว่ากรอบที่ตั้งไว้แล้ว
พิชา รัตนธรรม หัวหน้าจัดการลงทุนธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ.ทิสโก้ บอกถึงเรื่องนี้ว่า จริงอยู่ที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะกังวลในเรื่องการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันมากกว่าลง
แต่เชื่อว่าแนวโน้มของราคาน้ำมันต่อจากนี้อีก 1 ปีน่าจะมีการปรับตัวลดลงได้ เนื่องจากดีมานที่แท้จริงของการบริโภคอย่างในประเทศจีน อินเดีย มีการปรับตัวลดลงแล้ว อีกทั้งเฮดจ์ฟันด์เองก็ยังมีการปรับเปลี่ยนการลงทุนในน้ำมันด้วย โดยคาดว่าราคาคงจะไม่ปรับตัวสูงสุดเหมือนที่เคยเป็นมา
นอกจากนี้ การลงทุนในกองนี้น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ เนื่องจากความผันผวนของราคาน้ำมันที่ผ่านมาจะอยู่ที่ 10-20% แต่จะมีบางในบ้างกรณีอย่างเช่นในปีที่ผ่านมามีการปรับตัวเกินกรอบ 30% จากการใช้น้ำมันที่สูงขึ้น และการเก็งกำไรของเฮดจ์ฟันด์
“ราคาน้ำมันคงจะไม่ถึงนิวไฮ หรือเกินกรอบ 30% ที่ตั้งไว้ ซึ่งนักลงทุนส่วนมากกลัวในด้านนี้ โดยดีมานในกลุ่ม บริค เองก็ได้ลดลงมาแล้ว และราคาที่เราลงก็น่าสนใจเพราะอยู่ในระดับที่เกิน 100 ดอลลาร์/บาร์เรลล์ พอสมควร และในอนาคตคงไม่ปรับเพิ่มเกินกรอบ 30% แต่นักลงทุนที่จะลงกองทุนนี้ก็ควรที่จะมองในรูปแบบเดียวกันด้วย” นายพิชากล่าว
ธีรนาถ กล่วเสริมอีกว่า ที่ผ่านมาสถิติของความผันผวนที่อยู่ในกรอบของราคาน้ำมันที่ตั้งไว้จะมีโอกาสทำได้ถึง 70% ซึ่งหมายถึง 100 ครั้งที่ผ่านมามีถึง 70 ครั้งที่การผัวผวนของราคาน้ำมันอยู่ในกรอบ 30% ที่ตั้งไว้นั้นเอง
แต่ความเสี่ยงในกองทุนนี้นอกจากความผันผวนของราคาน้ำมันแล้ว อัตราแลกเปลี่ยนยังถือเป็นความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน นายธีรนาถ บอกถึงเรื่องนี้ว่า การคืนเงินต้นเต็มจำนวนของกองทุนนี้จะอยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย แต่นักลงทุนยังจะมีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ที่ไม่ได้ทำการป้องกันวัน ณ วันลงทุน ซึ่งจะทำให้เงินต้นที่ได้คืนเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้เช่นกัน จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่า การลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียในปัจจุบันจะเป็นช่วงที่ได้เปรียบของนักลงทุน เนื่องจากค่าเงินในสกุลดังกล่าวเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทในปัจจุบันมีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งในอนาคตน่าจะมีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นได้เมื่อเทียบกับเงินบาท
คงจะได้ข้อมูลไปพอสมควรกับกองทุนใหม่นี้ไปแล้ว ส่วนใครที่สนใจ บลจ.ทิสโก้เขาเปิดขายไปแล้วระหว่างวันที่ 18-26 กันยายนนี้ ซึ่งก็ยังพอมีเวลาให้ตัดสินใจและศึกษาข้อมูลกันอีกพอสมควร ส่วนอาทิตย์หน้าจะเป็นกองทุนรูปแบบไหนคงจะต้องติดตามกันต่อไป แต่รับรองว่าจะคัดสรรข้อมูลดีๆ มาให้นักลงทุนได้รับทราบกันอีกแน่นอน