ภายใต้กระแสทางการเมืองไทยที่ร้อนระอุในขณะนี้ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ภายในประเทศผันผวนอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติยังขาดความมั่นใจกับภาวะเศรษฐกิจและมั่นคงภายในประเทศต่างชะลอการลงทุน อีกทั้งนักลงทุนรายย่อยในประเทศ ที่ต่างทยอยนำหุ้นออกขายเพื่อลดความเสี่ยง ทำให้หุ้นบ้านเราปรับตัวลดลงมาอยู่เรื่อยๆ ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา
แต่เมื่อใดที่แนวโน้มทางการเมืองปรับตัวดีขึ้น เชื่อว่าน่าจะส่งผลให้ตลาดกลับขึ้นมาเป็นบวกอีกครั้ง...และหากมองย้อนกลับไปจะเห็นได้ว่า ตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนและความเสี่ยงในการลงทุนอยู่เยอะมาก ทำให้ต้องมองว่าจะลงทุนอย่างไร เพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการลงทุน ลงทุนไปแล้วไม่ขาดทุน ภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วง
ดังนั้น "Best of Fund" จึงอยากจะขอพาทุกท่านไปตรวจสอบผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นในรอบระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งเป็นการรายงานโดยสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ที่นำเสนอผ่าน www.aimc.or.th...ไปดูกันว่า ภายใต้ความผันผวนดังกล่าว ผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง และไปดูกันว่ากองทุนใดที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่น แล้วที่โดดเด่น เขามีนโยบายการบริหารและการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร
สำหรับกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดมาเป็นอันดับ 1 (ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2551 ) คือกองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล ภายใต้การบริหารของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอวายเอฟ จำกัด โดยมีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ -12.33% มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -11.91% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนเท่ากับ -8.18% อันดับ 2 ถึงอันดับ 4 ได้แก่กองทุนภายใต้การบริหารของบลจ.อเบอร์ดีน โดยมีกองทุนอเบอร์ดีนเปิดสมอลแค๊พ อยู่ในอันดับ 2 มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -13.95% ย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ -12.52% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 12เดือน อยู่ที่ -14.93%
อันดับ 3 กองทุนเปิดอเบอร์ดีนโกรท มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ -14.61% ย้อนหลัง 6 เดือนเท่ากับ -11.11% และย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ 10.94% ส่วนอันดับที่ 4 กองทุนอเบอร์ดีนสยามลีดเดอร์ส พบว่ามีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -15.81% สำหรับผลตอบแทน 6 เดือนเท่ากับ -12.47% และผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ -11.76%
สำหรับอันดับที่ 5 คือกองทุนเปิดธนชาติฟันดาเมนทอล พลัส ภายใต้การบริหารของ บลจ. ธนชาต โดยทีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ -16.59% ย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ -11.56% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ 2.80% อันดับ 6 ได้แก่ กองทุนไทยพาณิชย์หุ้นทุนปันผล ภายใต้การบริหารของ บลจ.ไทยพาณิชย์ โดยมีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -16.61% มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -11.56% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนเท่ากับ -2.98 %
ส่วนอันดับที่ 7 เป็นของกองทุนบัวหลวงโครงสร้างพื้นฐาน ภายใต้การบริหารของ บลจ. บัวหลวง พบว่ามีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ -17.07% มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -16.18% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ -10.02% โดยมีอันดับที่ 8 คือ กองทุนบัวแก้วปันผล ภายใต้การบริหารโดย บลจ. บัวหลวง ซึ่งมีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -17.23% มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ -17.74% และพบว่ามีผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนเท่ากับ -6.59 %
อันดับ 9 คือ กองทุนเปิดออมสินพัฒนาภูมิภาค ภายใต้การบริหารของ บลจ. ธนชาต โดยมีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนเท่ากับ -17.29% มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -13.44% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ -7.42% และอันดับสุดท้ายได้แก่ กองทุนบัวแก้ว 2 โดยพบว่ามีผลกาารตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -17.34% ย้อนหลัง 6 เดือนเท่ากับ -14.89% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ -7.42%
ทั้งนี้ พบว่าผลตอบแทนจากการลงทุนใน SET Index ในระยะเวลา 3 เดือนอยู่ที่ -20.34% ขณะที่ระยะเวลา 6 เดือน อยู่ที่ -16.12% และระยะเวลา 12 เดือนอยู่ที่ -11.10%
เปิดพอร์ตกองทุนอันดับ 1
สำหรับกองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล (AYF Dividend Stock Fund:AYFSDIV) เป็นกองทุนรวมตราสารแห่งทุน โดยมีจำนวนเงินทุนของโครงการอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท อีกทั้งได้รับอนุมัติจัดตั้งกองทุนรวมเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2550
โดยกองทุนมีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลดีเป็นลำดับแรก และหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดต่ำถึงปานกลาง (Small and Medium Market Capitalization)เป็นลำดับถัดไป โดยจะไม่ตัดสิทธิของกองทุนในการลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูง และสามารถลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้มาจากการลงทุนในหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ เงินลงทุน
ส่วนที่เหลือ จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารหนี้หรือเงินฝาก ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนดให้ลงทุนได้ ทั้งนี้ บริษัทจัดการกองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(Derivatives)โดยต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.
ขณะเดียวกัน กองทุนมีประวัติการจ่ายปันผล โดยมีการจ่ายทั้งหมด 3 ครั้ง รวมเป็นจำนวนเงินปันผลทั้งหมด 1.2000 บาท ครั้งที่ 1 คืออวันที่ 29 มิ.ย. 50 โดยได้ทำการจ่ายปันผล 0.4000 บาท/หน่วย ครั้งที่ 2 วันที่ 24 ต.ค. 50 จ่ายปันผลที่ 0.4000 บาท/หน่วย และครั้งล่าสุดวันที่ 20 ก.พ. 51 ได้มีการจ่ายปันผลเป็นจำนวนเงิน 0.4000 บาท/หน่วย
อย่างไรก็ตาม กองทุน AYFSDIVได้มีหมวดหลักทรัพย์ 5 หมวดแรกที่ลงทุน ณ วันที่ 31 ก.ค. 2551 ได้แก่ 1. หมวดพาณิชย์ 2.หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 3.หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 4.หมวดประกันชีวิตและประกันภัย และ5.หมวดธนาคาร
นอกจากนี้กองทุนได้มีหลักทรัพย์ 10 อันดับแรกที่ลงทุน ณ วันที่ 31 ก.ค. 2551 ได้แก่ อันดับ 1 บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 14.75% อันดับ 2. บมจ.เอ็ม บี เค 7.97% อันดับ 2 บมจ.ธ.ทิสโก้ 7.91% อันดับ 4.บมจ.สยามแม็คโคร 7.84% อันดับ 5.กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท 5.82% อันดับ6.บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ 5.63% อันดับ 7. บมจ.โกลว์ พลังงาน 5.19% อันดับ 8. บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ 5.04% อันดับ 9. บมจ.ซีเอ็ดยูเคชั่น 4.84% และอันดับ 10.บมจ. ซีพี ออลล์ 4.83%
แต่เมื่อใดที่แนวโน้มทางการเมืองปรับตัวดีขึ้น เชื่อว่าน่าจะส่งผลให้ตลาดกลับขึ้นมาเป็นบวกอีกครั้ง...และหากมองย้อนกลับไปจะเห็นได้ว่า ตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนและความเสี่ยงในการลงทุนอยู่เยอะมาก ทำให้ต้องมองว่าจะลงทุนอย่างไร เพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการลงทุน ลงทุนไปแล้วไม่ขาดทุน ภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วง
ดังนั้น "Best of Fund" จึงอยากจะขอพาทุกท่านไปตรวจสอบผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นในรอบระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งเป็นการรายงานโดยสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ที่นำเสนอผ่าน www.aimc.or.th...ไปดูกันว่า ภายใต้ความผันผวนดังกล่าว ผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง และไปดูกันว่ากองทุนใดที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่น แล้วที่โดดเด่น เขามีนโยบายการบริหารและการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร
สำหรับกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดมาเป็นอันดับ 1 (ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2551 ) คือกองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล ภายใต้การบริหารของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอวายเอฟ จำกัด โดยมีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ -12.33% มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -11.91% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนเท่ากับ -8.18% อันดับ 2 ถึงอันดับ 4 ได้แก่กองทุนภายใต้การบริหารของบลจ.อเบอร์ดีน โดยมีกองทุนอเบอร์ดีนเปิดสมอลแค๊พ อยู่ในอันดับ 2 มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -13.95% ย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ -12.52% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 12เดือน อยู่ที่ -14.93%
อันดับ 3 กองทุนเปิดอเบอร์ดีนโกรท มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ -14.61% ย้อนหลัง 6 เดือนเท่ากับ -11.11% และย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ 10.94% ส่วนอันดับที่ 4 กองทุนอเบอร์ดีนสยามลีดเดอร์ส พบว่ามีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -15.81% สำหรับผลตอบแทน 6 เดือนเท่ากับ -12.47% และผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ -11.76%
สำหรับอันดับที่ 5 คือกองทุนเปิดธนชาติฟันดาเมนทอล พลัส ภายใต้การบริหารของ บลจ. ธนชาต โดยทีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ -16.59% ย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ -11.56% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ 2.80% อันดับ 6 ได้แก่ กองทุนไทยพาณิชย์หุ้นทุนปันผล ภายใต้การบริหารของ บลจ.ไทยพาณิชย์ โดยมีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -16.61% มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -11.56% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนเท่ากับ -2.98 %
ส่วนอันดับที่ 7 เป็นของกองทุนบัวหลวงโครงสร้างพื้นฐาน ภายใต้การบริหารของ บลจ. บัวหลวง พบว่ามีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ -17.07% มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -16.18% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ -10.02% โดยมีอันดับที่ 8 คือ กองทุนบัวแก้วปันผล ภายใต้การบริหารโดย บลจ. บัวหลวง ซึ่งมีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -17.23% มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ -17.74% และพบว่ามีผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนเท่ากับ -6.59 %
อันดับ 9 คือ กองทุนเปิดออมสินพัฒนาภูมิภาค ภายใต้การบริหารของ บลจ. ธนชาต โดยมีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนเท่ากับ -17.29% มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -13.44% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ -7.42% และอันดับสุดท้ายได้แก่ กองทุนบัวแก้ว 2 โดยพบว่ามีผลกาารตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -17.34% ย้อนหลัง 6 เดือนเท่ากับ -14.89% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ -7.42%
ทั้งนี้ พบว่าผลตอบแทนจากการลงทุนใน SET Index ในระยะเวลา 3 เดือนอยู่ที่ -20.34% ขณะที่ระยะเวลา 6 เดือน อยู่ที่ -16.12% และระยะเวลา 12 เดือนอยู่ที่ -11.10%
เปิดพอร์ตกองทุนอันดับ 1
สำหรับกองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล (AYF Dividend Stock Fund:AYFSDIV) เป็นกองทุนรวมตราสารแห่งทุน โดยมีจำนวนเงินทุนของโครงการอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท อีกทั้งได้รับอนุมัติจัดตั้งกองทุนรวมเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2550
โดยกองทุนมีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลดีเป็นลำดับแรก และหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดต่ำถึงปานกลาง (Small and Medium Market Capitalization)เป็นลำดับถัดไป โดยจะไม่ตัดสิทธิของกองทุนในการลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูง และสามารถลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้มาจากการลงทุนในหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ เงินลงทุน
ส่วนที่เหลือ จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารหนี้หรือเงินฝาก ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนดให้ลงทุนได้ ทั้งนี้ บริษัทจัดการกองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(Derivatives)โดยต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.
ขณะเดียวกัน กองทุนมีประวัติการจ่ายปันผล โดยมีการจ่ายทั้งหมด 3 ครั้ง รวมเป็นจำนวนเงินปันผลทั้งหมด 1.2000 บาท ครั้งที่ 1 คืออวันที่ 29 มิ.ย. 50 โดยได้ทำการจ่ายปันผล 0.4000 บาท/หน่วย ครั้งที่ 2 วันที่ 24 ต.ค. 50 จ่ายปันผลที่ 0.4000 บาท/หน่วย และครั้งล่าสุดวันที่ 20 ก.พ. 51 ได้มีการจ่ายปันผลเป็นจำนวนเงิน 0.4000 บาท/หน่วย
อย่างไรก็ตาม กองทุน AYFSDIVได้มีหมวดหลักทรัพย์ 5 หมวดแรกที่ลงทุน ณ วันที่ 31 ก.ค. 2551 ได้แก่ 1. หมวดพาณิชย์ 2.หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 3.หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 4.หมวดประกันชีวิตและประกันภัย และ5.หมวดธนาคาร
นอกจากนี้กองทุนได้มีหลักทรัพย์ 10 อันดับแรกที่ลงทุน ณ วันที่ 31 ก.ค. 2551 ได้แก่ อันดับ 1 บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 14.75% อันดับ 2. บมจ.เอ็ม บี เค 7.97% อันดับ 2 บมจ.ธ.ทิสโก้ 7.91% อันดับ 4.บมจ.สยามแม็คโคร 7.84% อันดับ 5.กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท 5.82% อันดับ6.บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ 5.63% อันดับ 7. บมจ.โกลว์ พลังงาน 5.19% อันดับ 8. บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ 5.04% อันดับ 9. บมจ.ซีเอ็ดยูเคชั่น 4.84% และอันดับ 10.บมจ. ซีพี ออลล์ 4.83%