คำถามที่ว่า “ช่วงเวลานี้เหมาะสำหรับที่จะลงทุนหรือยัง” คงจะเป็นคำถามที่หลายๆคนเคยได้ยินกันอยู่เป็นประจำจนติดหู แต่ถ้าจะให้ตอบคำถามนี้แล้วหละก็ คงไม่มีใครที่จะตอบได้หรอกว่าช่วงเวลาไหนที่จะเหมาะสำหรับการลงทุนมากที่สุดกันแน่ เพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการลงทุนมากที่สุดนั้นก็คือ ช่วงเวลาที่ราคาของหน่วยลงทุนลดลงมาต่ำที่สุด แต่ว่าใครที่จะรู้ได้ว่าราคาของหน่วยลงทุนนั้นจะลดลงมาต่ำที่สุดเมื่อไหร่ ถึงจะเหมาะสำหรับการเข้าซื้อหน่วยลงทุนในช่วงเวลานั้นได้ แล้วยิ่งถ้าเป็นในสภาวะที่ตลาดผันผวนขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาแล้วหละก็ ยิ่งเป็นการยากที่จะตอบได้ว่าราคาของหน่วยลงทุนวันไหนที่จะเหมาะสำหรับการเข้าซื้อมากที่สุด
ในความเป็นจริงแล้วไม่เพียงแต่นักลงทุนธรรมดาเท่านั้นที่จะมีการตัดสินใจลงทุนที่ผิดพลาดไป คือการตัดสินใจเข้าซื้อหน่วยลงทุนในช่วงเวลาที่ราคาของหน่วยลงทุนนั้นยังคงสูงอยู่ เพราะไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทสถาบันที่ต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลการลงทุน หรือ นักลงทุนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญบ่อยครั้งก็มีการตัดสินใจลงทุนที่ผิดพลาดได้เหมือนกัน โดยการเข้าซื้อหน่วยลงทุนในช่วงเวลาที่ยังไม่เหมาะสม เนื่องจากไม่มีใครที่สามารถจะรู้ได้เลยว่าวันไหนที่ราคาของหน่วยลงทุนจะปรับตัวลดลงมาต่ำที่สุดในช่วงนั้น
สภาพกาลปัจจุบัน เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าสภาพตลาดในตอนนี้มีการผันผวนค่อนข้างสูง จึงเป็นการยากที่เราจะคาดเดาได้ว่าช่วงเวลาไหนที่จะเหมาะสำหรับการเข้าซื้อหน่วยลงทุน
วันนี้เราจึงมีวิธีการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งมาเสนอให้กับนักลงทุน ซึ่งวิธีการนี้นักลงทุนหลายท่านอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่สามารถถึงประโยชน์ที่แท้จริงของมัน วิธีการนี้ก็คือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย หรือ Dollar Cost Averaging (DCA) ซึ่งเป็นเทคนิคการลงทุนที่สามารถลดความเสี่ยงและให้ผลตอบแทนที่ดีสำหรับการลงทุนในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นวิธีที่สร้างระเบียบวินัยในการลงทุนให้กับนักลงทุนอีกด้วย
โดยหลักการแล้วการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยเป็นการใช้ประโยชน์จากการที่สภาวะตลาดมีการผันผวนเพิ่มขึ้นหรือลดลง แทนที่เราจะคาดเดาจังหวะสูงต่ำของราคาตลาด เราควรจะเลือกลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่กระจุกการลงทุนในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง เพราะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนผิดจังหวะ โดยการลงทุนด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆ กันในแต่ละเดือน และการลงทุนอย่างสม่ำเสมอนี้ยังเป็นการฝึกนิสัยที่ดีในการลงทุนให้กับตัวท่านเองอีกด้วย
การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยมีข้อดีที่ทำให้เกิดประโยชน์กับนักลงทุนมากมาย อาทิเช่น 1. ทำให้ลดความเสี่ยงเรื่องการลงทุนผิดจังหวะ 2. ตัดเรื่องอารมณ์ออกจากขบวนการตัดสินใจลงทุน 3. ลดภาระที่จะต้องจ่ายเงินก้อนโต 4. เป็นสร้างระเบียบวินัยในการลงทุน
เมื่อมีการตัดสินใจที่จะลงทุนแบบถัวเฉลี่ยแล้ว ก่อนอื่นก็ต้องมีการกำหนดเป้าหมาย เลือกและจัดสรรการลงทุนที่สอดคล้อง และกำหนดเงินที่จะลงทุนในแต่ละครั้ง ที่สำคัญต้องมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อความมีประสิทธิภาพในการลงทุน
การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยจะทำให้ลดความเสี่ยงรายหลักทรัพย์และลดความเสี่ยงของราคาตลาด โดยที่จะมีการกระจายความเสี่ยงไปตามช่วงจังหวะเวลา จึงเหมาะกับการลงทุนในกองทุนหุ้นทุกประเภทที่มีการผันผวนของราคาตลาด แต่ถ้าเป็นกองทุนตราสารหนี้อาจจะไม่มีผลมากนัก เพราะราคาของกองทุนตราสารหนี้ไม่ค่อยมีความผันผวนเท่าไหร่นัก การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยจึงไม่เจาะจงเฉพาะการลงทุนในกองทุน RMF และ LTF เท่านั้น เพราะสามารถใช้ได้กับการลงทุนในกองทุนเกือบทุกประเภท
จากข้อมูลเปรียบเทียบผลตอบแทนของการลงทุนในกองทุนหุ้นและกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพของ บลจ.บัวหลวง ระหว่างการลงทุนเพียงครั้งเดียว ต่อปี 60,000 บาท กับลงทุนทุกต้นเดือนจำนวน 12 ครั้ง ครั้งละ 5,000 บาท ในแต่ละปี ตั้งแต่ปี 2546-2550 พบว่า การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด และเป็นบทพิสูจน์ถึงประโยชน์ของวิธีลงทุนแบบถัวเฉลี่ยได้เป็นอย่างดี
ในความเป็นจริงแล้วไม่เพียงแต่นักลงทุนธรรมดาเท่านั้นที่จะมีการตัดสินใจลงทุนที่ผิดพลาดไป คือการตัดสินใจเข้าซื้อหน่วยลงทุนในช่วงเวลาที่ราคาของหน่วยลงทุนนั้นยังคงสูงอยู่ เพราะไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทสถาบันที่ต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลการลงทุน หรือ นักลงทุนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญบ่อยครั้งก็มีการตัดสินใจลงทุนที่ผิดพลาดได้เหมือนกัน โดยการเข้าซื้อหน่วยลงทุนในช่วงเวลาที่ยังไม่เหมาะสม เนื่องจากไม่มีใครที่สามารถจะรู้ได้เลยว่าวันไหนที่ราคาของหน่วยลงทุนจะปรับตัวลดลงมาต่ำที่สุดในช่วงนั้น
สภาพกาลปัจจุบัน เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าสภาพตลาดในตอนนี้มีการผันผวนค่อนข้างสูง จึงเป็นการยากที่เราจะคาดเดาได้ว่าช่วงเวลาไหนที่จะเหมาะสำหรับการเข้าซื้อหน่วยลงทุน
วันนี้เราจึงมีวิธีการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งมาเสนอให้กับนักลงทุน ซึ่งวิธีการนี้นักลงทุนหลายท่านอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่สามารถถึงประโยชน์ที่แท้จริงของมัน วิธีการนี้ก็คือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย หรือ Dollar Cost Averaging (DCA) ซึ่งเป็นเทคนิคการลงทุนที่สามารถลดความเสี่ยงและให้ผลตอบแทนที่ดีสำหรับการลงทุนในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นวิธีที่สร้างระเบียบวินัยในการลงทุนให้กับนักลงทุนอีกด้วย
โดยหลักการแล้วการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยเป็นการใช้ประโยชน์จากการที่สภาวะตลาดมีการผันผวนเพิ่มขึ้นหรือลดลง แทนที่เราจะคาดเดาจังหวะสูงต่ำของราคาตลาด เราควรจะเลือกลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่กระจุกการลงทุนในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง เพราะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนผิดจังหวะ โดยการลงทุนด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆ กันในแต่ละเดือน และการลงทุนอย่างสม่ำเสมอนี้ยังเป็นการฝึกนิสัยที่ดีในการลงทุนให้กับตัวท่านเองอีกด้วย
การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยมีข้อดีที่ทำให้เกิดประโยชน์กับนักลงทุนมากมาย อาทิเช่น 1. ทำให้ลดความเสี่ยงเรื่องการลงทุนผิดจังหวะ 2. ตัดเรื่องอารมณ์ออกจากขบวนการตัดสินใจลงทุน 3. ลดภาระที่จะต้องจ่ายเงินก้อนโต 4. เป็นสร้างระเบียบวินัยในการลงทุน
เมื่อมีการตัดสินใจที่จะลงทุนแบบถัวเฉลี่ยแล้ว ก่อนอื่นก็ต้องมีการกำหนดเป้าหมาย เลือกและจัดสรรการลงทุนที่สอดคล้อง และกำหนดเงินที่จะลงทุนในแต่ละครั้ง ที่สำคัญต้องมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อความมีประสิทธิภาพในการลงทุน
การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยจะทำให้ลดความเสี่ยงรายหลักทรัพย์และลดความเสี่ยงของราคาตลาด โดยที่จะมีการกระจายความเสี่ยงไปตามช่วงจังหวะเวลา จึงเหมาะกับการลงทุนในกองทุนหุ้นทุกประเภทที่มีการผันผวนของราคาตลาด แต่ถ้าเป็นกองทุนตราสารหนี้อาจจะไม่มีผลมากนัก เพราะราคาของกองทุนตราสารหนี้ไม่ค่อยมีความผันผวนเท่าไหร่นัก การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยจึงไม่เจาะจงเฉพาะการลงทุนในกองทุน RMF และ LTF เท่านั้น เพราะสามารถใช้ได้กับการลงทุนในกองทุนเกือบทุกประเภท
จากข้อมูลเปรียบเทียบผลตอบแทนของการลงทุนในกองทุนหุ้นและกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพของ บลจ.บัวหลวง ระหว่างการลงทุนเพียงครั้งเดียว ต่อปี 60,000 บาท กับลงทุนทุกต้นเดือนจำนวน 12 ครั้ง ครั้งละ 5,000 บาท ในแต่ละปี ตั้งแต่ปี 2546-2550 พบว่า การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด และเป็นบทพิสูจน์ถึงประโยชน์ของวิธีลงทุนแบบถัวเฉลี่ยได้เป็นอย่างดี
