บลจ.ฟินันซ่าเผยผลงานครึ่งปีแรก สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการแตะ 20,000 ล้านบาท ชูกองทุน FAM LTF และกองทุน FAM EEF ให้ผลตอบแทนสูงสุด 14.17% และ 15.15% ตามลำดับ ขณะที่กองทุน FAM GCF ครองแชมป์ผลการดำเนินงานโดดเด่นที่สุดในกองทุนรวมทั้งหมดในประเทศไทย ตั้งเป้าขยายสินทรัพย์กองทุน LTF และกองทุน RMF รับอานิสงส์รัฐบาลขยายเพดานลดหย่อนภาษี และ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนหันมาลงทุนในกองทุนเพิ่มขึ้น
นายธีระ ภู่ตระกูล กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) อยู่ที่ 20,000 ล้านบาท โดยกองทุนฟินันซ่าหุ้นทุนระยะยาว (FAM LTF) และกองทุนเปิดฟินันซ่า SET เพิ่มพูนปันผล (FAM EEF) มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในกลุ่มของกองทุนประเภทเดียวกัน โดยได้รับการจัดอันดับจากลิปเปอร์ ผู้ให้บริการด้านข้อมูลและการจัดอันดับของกองทุนรวม
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 พบว่า กองทุนเปิดฟินันซ่าหุ้นระยะยาว สามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีสูงถึง 14.17% จากกองทุนทั้งหมด 52 กองทุน และกองทุนเปิดฟินันซ่า SET เพิ่มพูนปันผล ที่ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 15.15%
“กองทุน FAM LTF และกองทุน FAM EEF เป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับสูง ที่สามารถเอาชนะดัชนี SET50 ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้วัดเปรียบเทียบผลการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี แม้ว่าภาพรวมของการลงทุนในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ท้าทายอย่างมากก็ตาม” นายธีระ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดหน่วยลงทุนฟินันซ่า โกลบอล คอมมอดิติ้ (FAM GCF) สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 สามาถให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 38% ทั้งนี้หากพิจารณาผลตอบแทนนับตั้งแต่การจัดตั้งกองทุนจะอยู่ที่ 78% ถือว่ามีผลการดำเนินงานโดดเด่นที่สุดในกลุ่มของกองทุนรวมทั้งหมดที่มีในประเทศไทย เนื่องจากตั้งแต่ตั้งกองทุนนี้เป็นต้นมา ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาน้ำมัน และทองคำที่ปรับขึ้นมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะที่ผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดฟินันซ่าเพื่อการเลี้ยงชีพ (FAM RMF) สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 สามาถให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีเท่ากับ 17.5% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้สภาวะการลงทุนจะอยู่ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนอย่างมาก แต่กองทุนดังกล่าวยังสามารถให้ผลตอบแทนไปในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกองทุนเดียวในกลุ่มนี้ที่มีการกระจายการลงทุนไปในกองทนุอื่นๆ หลายประเภท นายธีระ กล่าวว่า สำหรับทิศทางการบริหารงานของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากภาวะความกดดันของอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ความไม่แน่นอนของการเมืองภายในประเทศ ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของะนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีก รวมถึงการแข่งขันออกผลิตภัณฑ์เงินออมอัตราดอกเบี้ยจูงใจอย่างต่อเนื่อง ที่จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการของการลงทุนในกองทุนรวม
อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ของกองทุน FAM LTF เนื่องจากกองทุนดังกล่าวจะได้รับประโยชน์จากการที่รับบาลจะมีการขยายเพดานการหักลดหย่อนภาษีเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเป็น 500,000 บาทต่อปี จากเดิมแค่ 300,000 บาทต่อปี ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนทยอยเข้ามาลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มากขึ้น รวมถึงการบังคับใช้รพราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 สิงหาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนเคลื่อนย้ายเงินจากธนาคารพาณิชย์มาลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้น
นายธีระ ภู่ตระกูล กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) อยู่ที่ 20,000 ล้านบาท โดยกองทุนฟินันซ่าหุ้นทุนระยะยาว (FAM LTF) และกองทุนเปิดฟินันซ่า SET เพิ่มพูนปันผล (FAM EEF) มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในกลุ่มของกองทุนประเภทเดียวกัน โดยได้รับการจัดอันดับจากลิปเปอร์ ผู้ให้บริการด้านข้อมูลและการจัดอันดับของกองทุนรวม
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 พบว่า กองทุนเปิดฟินันซ่าหุ้นระยะยาว สามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีสูงถึง 14.17% จากกองทุนทั้งหมด 52 กองทุน และกองทุนเปิดฟินันซ่า SET เพิ่มพูนปันผล ที่ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 15.15%
“กองทุน FAM LTF และกองทุน FAM EEF เป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับสูง ที่สามารถเอาชนะดัชนี SET50 ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้วัดเปรียบเทียบผลการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี แม้ว่าภาพรวมของการลงทุนในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ท้าทายอย่างมากก็ตาม” นายธีระ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดหน่วยลงทุนฟินันซ่า โกลบอล คอมมอดิติ้ (FAM GCF) สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 สามาถให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 38% ทั้งนี้หากพิจารณาผลตอบแทนนับตั้งแต่การจัดตั้งกองทุนจะอยู่ที่ 78% ถือว่ามีผลการดำเนินงานโดดเด่นที่สุดในกลุ่มของกองทุนรวมทั้งหมดที่มีในประเทศไทย เนื่องจากตั้งแต่ตั้งกองทุนนี้เป็นต้นมา ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาน้ำมัน และทองคำที่ปรับขึ้นมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะที่ผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดฟินันซ่าเพื่อการเลี้ยงชีพ (FAM RMF) สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 สามาถให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีเท่ากับ 17.5% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้สภาวะการลงทุนจะอยู่ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนอย่างมาก แต่กองทุนดังกล่าวยังสามารถให้ผลตอบแทนไปในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกองทุนเดียวในกลุ่มนี้ที่มีการกระจายการลงทุนไปในกองทนุอื่นๆ หลายประเภท นายธีระ กล่าวว่า สำหรับทิศทางการบริหารงานของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากภาวะความกดดันของอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ความไม่แน่นอนของการเมืองภายในประเทศ ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของะนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีก รวมถึงการแข่งขันออกผลิตภัณฑ์เงินออมอัตราดอกเบี้ยจูงใจอย่างต่อเนื่อง ที่จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการของการลงทุนในกองทุนรวม
อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ของกองทุน FAM LTF เนื่องจากกองทุนดังกล่าวจะได้รับประโยชน์จากการที่รับบาลจะมีการขยายเพดานการหักลดหย่อนภาษีเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเป็น 500,000 บาทต่อปี จากเดิมแค่ 300,000 บาทต่อปี ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนทยอยเข้ามาลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มากขึ้น รวมถึงการบังคับใช้รพราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 สิงหาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนเคลื่อนย้ายเงินจากธนาคารพาณิชย์มาลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้น