สมาคมบริษัทจัดการลงทุนเผย ปี 2550 กองทุนรวม LTF และ RMF อัตราการเจริญเติบโตพุ่ง เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าต่อเนื่องดันมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) รวมทั้ง 2 ประเภทขยายตัว 72.57% หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 5 หมื่นล้านบาท จากการใส่เงินของผู้ถือหน่วยรายเดิม และนักลงทุนหน้าใหม่ "มาริษ ท่าราบ"พอใจการเผยแพร่ให้ความรู้ด้านการลงทุนประสบผล มั่นใจยอดขายคืนLTFล็อตแรกไม่ฉุดภาพรวมหด
นายมาริษ ท่าราบ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เปิดเผยถึงข้อมูลกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และ กองทุยรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ปี 2550 ว่า ทรัพย์สินสุทธิรวมของกองทุนรวม LTF เติบโตขึ้นจากปี 2549 ถึงเกือบเท่าตัว หรือคิดเป็น 96 % ในขณะที่กองทุน RMF เติบโตขึ้นจากปี 2549 คิดเป็น 49% โดยรวมมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนทั้ง 2 ประเภท คิดเป็นเงิน 87,424.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 72.57% จากปี 2549 ที่มีมูลค่าสินทรัพย์รวม 50,661.66 ล้านบาท
สำหรับ เม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนในกองทุนทั้ง 2 ประเภท ส่วนหนึ่งเป็นการลงทุนอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนรายเดิม ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นการเข้ามาของนักลงทุนหน้าใหม่ ซึ่งเป็นผลมาจากการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนไปยังนักลงทุน ทำให้นักลงทุนเริ่มกระจายเงินออมมาลงทุนผ่านกองทุนรวมมากขึ้น จากเดิมที่เน้นการฝากเงินเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความร่วมมือระหว่างสมาคมและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ในการขยายฐานผู้ลงทุนผ่านโครงการ “ให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม” ซึ่งจะเห็นได้จากผลการจัดงาน “มหกรรมลดภาษีนาทีสุดท้าย” เมื่อวันที่ 15-16 และ 22-23 ธันวาคม ที่ผ่านมา รวม 4 วันมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในกองทุนทั้ง 2 ประเภท เป็นเงินถึง 387 ล้านบาท
ทั้งนี้จากข้อมูลดังกล่าวพบว่า ในวันที่ 31 ธันวาคม 2548 มีปริมาณผู้ถือหน่วยลงทุนผ่านกองทุนรวมLTF จำนวน 73,585 คน มีผู้ถือหน่วยลงทุนRMF จำนวน 70,672 คน รวม 144,257 คน ขณะที่ช่วงเดียวกันในปี 2549 มีผู้ถือหน่วยลงทุนLTFเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 122,039 คน และผู้ถือหน่วยลงทุน RMF จำนวน 91,704 คน รวม 213,743 คน และ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 มีผู้ถือหน่วยลงทุน LTF จำนวน 148,245 คน และมีผู้ถือหน่วยลงทุน RMF จำนวน 111,185 คน รวมทั้งสิ้น 259,430 คน
ขณะที่ ข้อมูลจากงาน "มหกรรมลดภาษีนาทีสุดท้าย" ในวันที่ 15 ธันวาคม 2550 มีผู้ลงทุนในLTF และ RMF จำนวน 820 คน มูลค่าเงินลงทุน 62,760,930 บาท แบ่งเป็นผู้ลงทุนในLTF จำนวน 539 คน มูลค่าเงินลงทุน 41,469,445 บาท ผู้ลงทุนRMF จำนวน 281 คน มูลค่าเงินลงทุน 41,469,445 บาท ขณะเดียวกันวันที่ 16 ธันวาคม 2550 มีผู้ลงทุนในLTF และ RMF จำนวน 693 คน มูลค่าเงินลงทุน 61,989,450 บาท แบ่งเป็นผู้ลงทุนในLTF จำนวน 503 คน มูลค่าเงินลงทุน 49,910,135 บาท ผู้ลงทุนRMF จำนวน 190 คน มูลค่าเงินลงทุน 12,079,315 บาท ต่อมาในการจัดงานสัปดาห์ที่ 2 ระหว่างวันที่ 22 - 23 ธันวาคม พบว่าในวันที่ 22 ธันวาคม 2550 มีผู้ลงทุนในLTF และ RMF จำนวน 1,117 คน มูลค่าเงินลงทุน 132,049,393 บาท แบ่งเป็นผู้ลงทุนในLTF จำนวน 641 คน มูลค่าเงินลงทุน 78,508,112 บาท ผู้ลงทุนRMF จำนวน 476 คน มูลค่าเงินลงทุน 53,541,281 บาท และในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 มีผู้ลงทุนในLTF และ RMF จำนวน 1,291 คน มูลค่าเงินลงทุน 130,663,166 บาท แบ่งเป็นผู้ลงทุนในLTF จำนวน 882 คน มูลค่าเงินลงทุน 87,417,878 บาท ผู้ลงทุนRMF จำนวน 409 คน มูลค่าเงินลงทุน 43,245,288 บาท รวมทั้ง 4 วันมีผู้ลงทุนในกองทุนทั้ง 2 ประเภทรวม 3,921 คน มูลค่าเงินลงทุนรวม 387,462,939 บาท แบ่งเป็นกองทุนLTF จำนวน 2,565 คน มูลค่าเงินลงทุนรวม 257,305,570 บาท และผู้ลงทุนใน RMF จำนวน 1,356 คน มูลค่าเงินลงทุน 130,157,369 บาท
“นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในกองทุนประเภทนี้ในระยะแรกๆ อาจมีจำนวนไม่มาก เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่าการต้องถือหน่วยลงทุนไว้เป็นระยะเวลา 5 ปี จะมีความเสี่ยงในเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างไร ผู้ที่ตัดสินใจลงทุนส่วนใหญ่จึงลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีเป็นหลัก ทำให้มีนักลงทุนส่วนหนึ่งที่ยังไม่ตัดสินใจลงทุน แต่เมื่อผลตอบแทนการลงทุนจากแต่ละกองทุนที่ปรากฏออกมาเริ่มมีความเด่นชัดเฉลี่ย 3 ปี คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 40 % ก็ช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น จึงเข้ามาลงทุนในกองทุนทั้งสองประเภทนี้มากขึ้นและให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อผลตอบแทนควบคู่ไปกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี”นายมาริษกล่าว
อย่างไรก็ตาม สมาคมบริษัทจัดการลงทุน เชื่อว่ากองทุนทั้ง 2 ประเภทจะยังคงได้รับความนิยมจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในปี 2551 นักลงทุนที่ลงทุนในกองทุน LTF มาครบกำหนดจะเริ่มขายคืนหน่วยลงทุนได้โดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งคาดว่าจะมีการทยอยขายคืนหน่วยลงทุนบ้าง แต่มั่นใจว่านักลงทุนจะนำเงินกลับมาลงทุนใหม่ ทั้งนี้ พบว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน LTF เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2551 ซึ่งเป็นสัปดาห์แรกที่นักลงทุนเริ่มขายคืนหน่วยลงทุน LTF ได้ ลดลงจากวันที่ 28 ธันวาคม 2550 เพียง 1.32% เท่านั้น เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลง 4.24%
นายมาริษ ท่าราบ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เปิดเผยถึงข้อมูลกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และ กองทุยรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ปี 2550 ว่า ทรัพย์สินสุทธิรวมของกองทุนรวม LTF เติบโตขึ้นจากปี 2549 ถึงเกือบเท่าตัว หรือคิดเป็น 96 % ในขณะที่กองทุน RMF เติบโตขึ้นจากปี 2549 คิดเป็น 49% โดยรวมมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนทั้ง 2 ประเภท คิดเป็นเงิน 87,424.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 72.57% จากปี 2549 ที่มีมูลค่าสินทรัพย์รวม 50,661.66 ล้านบาท
สำหรับ เม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนในกองทุนทั้ง 2 ประเภท ส่วนหนึ่งเป็นการลงทุนอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนรายเดิม ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นการเข้ามาของนักลงทุนหน้าใหม่ ซึ่งเป็นผลมาจากการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนไปยังนักลงทุน ทำให้นักลงทุนเริ่มกระจายเงินออมมาลงทุนผ่านกองทุนรวมมากขึ้น จากเดิมที่เน้นการฝากเงินเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความร่วมมือระหว่างสมาคมและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ในการขยายฐานผู้ลงทุนผ่านโครงการ “ให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม” ซึ่งจะเห็นได้จากผลการจัดงาน “มหกรรมลดภาษีนาทีสุดท้าย” เมื่อวันที่ 15-16 และ 22-23 ธันวาคม ที่ผ่านมา รวม 4 วันมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในกองทุนทั้ง 2 ประเภท เป็นเงินถึง 387 ล้านบาท
ทั้งนี้จากข้อมูลดังกล่าวพบว่า ในวันที่ 31 ธันวาคม 2548 มีปริมาณผู้ถือหน่วยลงทุนผ่านกองทุนรวมLTF จำนวน 73,585 คน มีผู้ถือหน่วยลงทุนRMF จำนวน 70,672 คน รวม 144,257 คน ขณะที่ช่วงเดียวกันในปี 2549 มีผู้ถือหน่วยลงทุนLTFเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 122,039 คน และผู้ถือหน่วยลงทุน RMF จำนวน 91,704 คน รวม 213,743 คน และ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 มีผู้ถือหน่วยลงทุน LTF จำนวน 148,245 คน และมีผู้ถือหน่วยลงทุน RMF จำนวน 111,185 คน รวมทั้งสิ้น 259,430 คน
ขณะที่ ข้อมูลจากงาน "มหกรรมลดภาษีนาทีสุดท้าย" ในวันที่ 15 ธันวาคม 2550 มีผู้ลงทุนในLTF และ RMF จำนวน 820 คน มูลค่าเงินลงทุน 62,760,930 บาท แบ่งเป็นผู้ลงทุนในLTF จำนวน 539 คน มูลค่าเงินลงทุน 41,469,445 บาท ผู้ลงทุนRMF จำนวน 281 คน มูลค่าเงินลงทุน 41,469,445 บาท ขณะเดียวกันวันที่ 16 ธันวาคม 2550 มีผู้ลงทุนในLTF และ RMF จำนวน 693 คน มูลค่าเงินลงทุน 61,989,450 บาท แบ่งเป็นผู้ลงทุนในLTF จำนวน 503 คน มูลค่าเงินลงทุน 49,910,135 บาท ผู้ลงทุนRMF จำนวน 190 คน มูลค่าเงินลงทุน 12,079,315 บาท ต่อมาในการจัดงานสัปดาห์ที่ 2 ระหว่างวันที่ 22 - 23 ธันวาคม พบว่าในวันที่ 22 ธันวาคม 2550 มีผู้ลงทุนในLTF และ RMF จำนวน 1,117 คน มูลค่าเงินลงทุน 132,049,393 บาท แบ่งเป็นผู้ลงทุนในLTF จำนวน 641 คน มูลค่าเงินลงทุน 78,508,112 บาท ผู้ลงทุนRMF จำนวน 476 คน มูลค่าเงินลงทุน 53,541,281 บาท และในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 มีผู้ลงทุนในLTF และ RMF จำนวน 1,291 คน มูลค่าเงินลงทุน 130,663,166 บาท แบ่งเป็นผู้ลงทุนในLTF จำนวน 882 คน มูลค่าเงินลงทุน 87,417,878 บาท ผู้ลงทุนRMF จำนวน 409 คน มูลค่าเงินลงทุน 43,245,288 บาท รวมทั้ง 4 วันมีผู้ลงทุนในกองทุนทั้ง 2 ประเภทรวม 3,921 คน มูลค่าเงินลงทุนรวม 387,462,939 บาท แบ่งเป็นกองทุนLTF จำนวน 2,565 คน มูลค่าเงินลงทุนรวม 257,305,570 บาท และผู้ลงทุนใน RMF จำนวน 1,356 คน มูลค่าเงินลงทุน 130,157,369 บาท
“นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในกองทุนประเภทนี้ในระยะแรกๆ อาจมีจำนวนไม่มาก เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่าการต้องถือหน่วยลงทุนไว้เป็นระยะเวลา 5 ปี จะมีความเสี่ยงในเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างไร ผู้ที่ตัดสินใจลงทุนส่วนใหญ่จึงลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีเป็นหลัก ทำให้มีนักลงทุนส่วนหนึ่งที่ยังไม่ตัดสินใจลงทุน แต่เมื่อผลตอบแทนการลงทุนจากแต่ละกองทุนที่ปรากฏออกมาเริ่มมีความเด่นชัดเฉลี่ย 3 ปี คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 40 % ก็ช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น จึงเข้ามาลงทุนในกองทุนทั้งสองประเภทนี้มากขึ้นและให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อผลตอบแทนควบคู่ไปกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี”นายมาริษกล่าว
อย่างไรก็ตาม สมาคมบริษัทจัดการลงทุน เชื่อว่ากองทุนทั้ง 2 ประเภทจะยังคงได้รับความนิยมจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในปี 2551 นักลงทุนที่ลงทุนในกองทุน LTF มาครบกำหนดจะเริ่มขายคืนหน่วยลงทุนได้โดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งคาดว่าจะมีการทยอยขายคืนหน่วยลงทุนบ้าง แต่มั่นใจว่านักลงทุนจะนำเงินกลับมาลงทุนใหม่ ทั้งนี้ พบว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน LTF เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2551 ซึ่งเป็นสัปดาห์แรกที่นักลงทุนเริ่มขายคืนหน่วยลงทุน LTF ได้ ลดลงจากวันที่ 28 ธันวาคม 2550 เพียง 1.32% เท่านั้น เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลง 4.24%