xs
xsm
sm
md
lg

INGลดพอร์ตกองหุ้นเหลือ90% ลดผลกระทบพิษซับไพรม์-การเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.ไอเอ็นจี ลดพอร์ตลงทุนกองทุนหุ้นในตลท.ลงเหลือ 90% หลังเจอวิกฤตศก.สหรัฐ-การเมืองในประเทศไม่นิ่ง คาดการณ์ตลาดหุ้นไทยปีหนูมีสิทธิ์หลุด 800 จุด แต่ยังประเมินแนวโน้มทั้งปีแตะ 1000 จุดได้ คาดปีนี้หุ้นให้ผลตอบแทน 15% แนะนักลงทุนจัดพอร์ตลงหุ้น 24% ตราสารหนี้และเงินฝาก 76% ด้านบลจ.อยุธยาไม่ลดพอร์ตลง แต่เน้นลงหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ปันผลสูง เผยเตรียมดันเอฟไอเอฟเข้าตลาดอีก 5 กองทุน

นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในส่วนของกองทุนหุ้นบลจ.ไอเอ็นจีนั้น ปัจจุบันได้ปรับลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นลงเหลือประมาณ 90% และถือเงินสดประมาณ 10% จากเดิมที่ลงทุนในหุ้น 98% และถือเงินสดประมาณ 2% เนื่องมาจากปัจจัยจากต่างประเทศเกี่ยวกับความวิตกเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ รวมทั้งปัจจัยเรื่องความไม่แน่นอนของการเมืองในประเทศขณะที่หลังจากนี้ทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดทุนคงจะขึ้นอยู่กับภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐว่าจะกระทบกับภาวะการส่งออก และการเมืองปัจจัยภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่ในระยะใกล้ ดัชนีอาจจะปรับลดลงต่ำกว่า 800 จุด ซึ่งจะทรงตัวอยู่ในระดับดังกล่าว หรือปรับตัวลดลงต่อเนื่องคงจะต้องขึ้นอยู่กับภาวะการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ แต่ภาพรวมทั้งปียังคงประเมินระดับดัชนีมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นถึง 1,000 จุด เช่นเดียวกันโดยแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนระยะยาว และจัดพอร์ตลงทุนในหุ้น 24% และลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝาก 76% โดยคาดการณ์ว่าในปี 2551 การลงทุนในตราสารทุนน่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ประมาณ 15%

ทั้งนี้ในส่วนของประเทศไทย แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่ม พลังงาน ซึ่งมีแนวโน้มกิจการไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน ส่วนหุ้นธนาคาร ประเมินว่าทิศทางราคาจะยังคงแกว่งตัวอยู่และควรซื้อลงทุนก็ต่อเมื่อราคาหุ้นปรับลดลงมากเท่านั้น ด้านหุ้นอื่นๆ ควรระมัดระวังในการลงทุนเพราะจะได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันแพง

"หุ้นไทยมีค่าพีอีอยู่ประมาณ 11-12 เท่า ซึ่งหากเทียบกับตลาดหุ้นอื่น เช่น จีนที่มีค่าพีอีมากกว่า 30-40 เท่า หรือของสหรัฐอเมริกาที่ค่าพีอีโดยรวมยังสูงกว่าเช่นกัน แต่นักลงทุนไม่ควรจะพิจารณาเรื่องนี้เป็นสำคัญ เพราะการลงทุนต้องประเมินภาพการเติบโตของเศรษฐกิจแต่ละประเทศประกอบด้วย" นาย มาริษ กล่าว

นายมาริษ กล่าวว่า ในปี 2551 เศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปมีแนวโน้มที่จะชะลอการเติบโตลง โดยคาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 1.5% จากปีนี้ที่เติบโตประมาณ 2% ในขณะที่เศรษฐกิจของยุโรปน่าจะโตขึ้นประมาณ 1.7-1.8% จากปีก่อนที่มีอัตราการเติบโต 2.6-2.7% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกบ้าง แต่ในส่วนของภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะ จีน และอินเดีย น่าจะมีอัตราการชะลอตัวที่ไม่มากนัก เพราะยังมีปัจจัยบวกจากการบริโภคภายในประเทศ

"ในปีนี้นั้น ความเสี่ยงในการลงทุนใหญ่ ยังคงมีมาจากเศรษฐกิจสหรัฐ ความไม่แน่นอนทางการเมือง จึงอยากให้นักลงทุนเลือกลงทุนในการลงทุนที่เข้าใจง่าย เช่น ตราสารหนี้ระยะสั้น หรือ ทองคำ "นายมาริษ กล่าว

ด้านนายณสุ จันทร์สม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อยุธยา กล่าวว่า ในส่วนของกองทุนหุ้นของบลจ.อยุธยา ไม่ได้มีการปรับลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นลง แต่มีการพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นที่มีขนาดกลาง-เล็ก ปันผลสูง และไม่ได้อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก อาทิ กลุ่ม พาณิชย์ ท่องเที่ยว เป็นต้น จากเดิมปีที่แล้วที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานมากที่สุด โดยในปีนี้ ทางกองทุนไม่ได้ปรับลดพอร์ตการลงทุนในกลุ่มพลังงานลง แต่มีการเลือกในรายบริษัทมากยิ่งขึ้นและยังคงเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นหลักเช่นเดิม

ขณะเดียวกันการที่ช่วงที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลง เกิดมาจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากการที่ปีที่ผ่านมาหุ้นสามารถทำกำไรได้ค่อนข้างมาก จึงต้องมีการขายทำกำไรออกไปบ้างจากปัจจัยความไม่แน่นอนภายในประเทศ

โดยมองว่าขณะนี้การลงทุนในตลาดหุ้นไทย เริ่มมีความยากขึ้นกว่าในอดีต เพราะภาพโดยรวมยังคงผันผวนผลตอบแทนไม่แน่นอนและแม้ปีที่แล้วบริษัทจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 20% ในตลาดหุ้นไทย ดังนั้นการลงทุนตลาดหุ้นไทยจึงต้องระมัดระวังมากขึ้นสำหรับแผนงานของบลจ.นั้น ในช่วง 2 เดือนแรกของปีจะมีการออกกองทุนที่ลงทุนต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) เพิ่มเติมอีกจำนวน 2 กองทุน ซึ่งจะเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นในภูมิภาคเอเชีย เช่น เวียดนาม จีน อินเดีย โดยเบื้องต้นคาดว่าทั้งสองกองทุนจะมีมูลค่าโครงการ 50 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตลอดปีคาดว่าบริษัทจะออกกองทุนเอฟไอเอฟเพิ่มเติมไม่ต่ำกว่า 5 กอง
กำลังโหลดความคิดเห็น