บลจ.ฟิลลิปมองเศรษฐกิจไทยปี 51 เหนื่อย หลายปัจจัยลบรุมเร้า แต่มั่นใจระยะยาวตลาดหุ้นดีเหตุราคาถูกและการเติบโตยังน้อยกว่าประเทศอื่นๆในแถบเอเชีย พร้อมเตรียมขยายฐานลูกค้าด้วยกลยุทธ์เพิ่มเอเยนต์ ชูผลการดำเนินงานและผลตอบแทนที่เติบโตต่อเนื่องเป็นหลัก หวังดึงความเชื่อมั่นจากนักลงทุนให้สนใจกองทุนของบริษัทมากขึ้น
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟิลลิป จำกัด กล่าวว่า การลงทุนของประเทศไทยในปีที่ผ่านมามีปัญหาหลายอย่างรุมเร้า ทั้งในเรื่องของราคาน้ำมัน ปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐอเมริกา และการเมืองภายในประเทศ เช่นเดียวกับในปีนี้เศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศไทยยังคงถูกกดดันด้วยปัญหาเหล่านี้อยู่เช่นเดิม อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยหนุนในเรื่องของการเมืองหลังการเลือกตั้ง ที่จะต้องรอดูทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ และการใช้นโยบายในการผลักดันการลงทุนว่าจะเป็นในทิศทางใด
ขณะเดียวกัน นอกจากปัญหาดังกล่าวข้างต้นแล้ว มาตรการกันสำรอง 30% ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องมีการจับตาในปีนี้ ซึ่งที่ผ่านมาการลงทุนในประเทศได้รับผลกระทบจากส่วนนี้ด้วย เนื่องจากเงินทุนจากต่างประเทศไม่สามารถเข้ามาได้เต็มที่ในบางธุรกิจ หรือบางกองทุนอย่างกองทุนอสังหารมิทรัพย์เป็นต้น
“ปีนี้คงจะต้องเหนื่อยอีกเพราะปัญหาต่างๆ ทั้ง ราคาน้ำมัน และซับไพรม์ ที่เรายังคงต้องเผชิญอยู่ นอกจากนี้ยังมีเรื่อง 30% อีกว่าจะมีการยกเลิกหรือไม่ และเมื่อยกเลิกแล้วจะเป็นอย่างไร ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่ต้องดูและจับทิศทางให้ดี ส่วนอัตราดอกเบี้ยคงจะไม่ปรับลดลงแม้จะมีฐานให้สามารถปรับได้อีก แต่หากจะมองกลับกันว่าเป็นช่วงขาขึ้นในปีนี้ก็ยังไม่เห็นสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจของเราจะดีขึ้นจนทำให้ดอกเบี้ยปรับขึ้นได้”นายวรรธนะกล่าว
อย่างไรก็ตามการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ฟิลลิป กล่าวว่า ยังคงน่าสนใจอยู่ เนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันยังอยู่ในอัตราที่ถูกเมื่อเทียบกับภูมิภาคเดียวกันที่มีการเติบโตเป็นอย่างมากจนทำให้ราคาหุ้นแพงขึ้น โดยในระยะยาวตลาดหุ้นไทยน่าจะมีการปรับขึ้นอีก
นายวรรธนะ กล่าวอีกว่า การดำเนินงานของบริษัทซึ่งถือว่าเป็นบลจ.ใหม่ของวงการในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่หน้าพอใจ โดยปัจจุบันนี้บลจ.ฟิลลิปมีสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 430 ล้านบาท หลังจากเพิ่งมีการเปิดขายกองทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปี2550 ซึ่งจาการการที่บริษัทนี้ไม่มีสาขาและเป็นบลจ.ใหม่ในธุรกิจนี้ทำให้ต้องมีการปรับตัวเพื่อให้ผ่านอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งในเรื่องของช่องทางการขาย และความไว้วางใจของลูกค้า ส่วนในปีนี้บริษัทตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นด้วยการเพิ่มช่องทางการขายผ่านซิลลิงก์เอเยนต์ให้มากขึ้น พร้อมทั้งใช้ผลการดำเนินงานที่ดีเป็นตัวดึงดูดลูกค้าให้มีความเชื่อมั่นในการลงทุนกับกองทุนของบริษัท
"การดำเนินงานของเราจะเน้นในเรื่องของผลการดำเนินงาน ซึ่งที่ผ่านมซิลลิงก์เอเยนต์ของเราบางรายได้เคยขอดู ผลการดำเนินงานก่อน อย่างกอง PcasH ของเรา ซึ่งบางครั้ง 3 เดือน บางครั้งก็ 6 เดือน แต่เมื่อผลการดำเนินงานของกองออกมาดีมากก็เริ่มให้ความสนใจที่จะนำสินค้าเราไปขายให้มากขึ้น เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ได้ขอมูลนี้ไปด้วย ซึ่งทำให้เกิดความไว้วางใจ โดยในปีนี้คงจะต้องมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเดิมเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าให้เชื่อมั่นเรามากขึ้น"นายวรรธนะกล่าว
สำหรับปีนี้ทางบริษัทได้ตั้งเป้าขยายสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร( AUM) ให้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยในช่วงแรกจะมีการออกทุนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3 กองทุน เป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) 2 กอง และกองทุนตราสารหนี้ในประเทศอีก 1กองทุน ส่วนกองที่จะต้องมีการเร่งระดมเงินเพิ่มจะเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) ที่เพิ่งออกไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งจะต้องทำให้สินทรัพย์รวมขั้นต่ำเป็นไปตามเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดไว้คือ 50 ล้านบาทต่อหนึ่งกอง
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟิลลิป จำกัด กล่าวว่า การลงทุนของประเทศไทยในปีที่ผ่านมามีปัญหาหลายอย่างรุมเร้า ทั้งในเรื่องของราคาน้ำมัน ปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐอเมริกา และการเมืองภายในประเทศ เช่นเดียวกับในปีนี้เศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศไทยยังคงถูกกดดันด้วยปัญหาเหล่านี้อยู่เช่นเดิม อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยหนุนในเรื่องของการเมืองหลังการเลือกตั้ง ที่จะต้องรอดูทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ และการใช้นโยบายในการผลักดันการลงทุนว่าจะเป็นในทิศทางใด
ขณะเดียวกัน นอกจากปัญหาดังกล่าวข้างต้นแล้ว มาตรการกันสำรอง 30% ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องมีการจับตาในปีนี้ ซึ่งที่ผ่านมาการลงทุนในประเทศได้รับผลกระทบจากส่วนนี้ด้วย เนื่องจากเงินทุนจากต่างประเทศไม่สามารถเข้ามาได้เต็มที่ในบางธุรกิจ หรือบางกองทุนอย่างกองทุนอสังหารมิทรัพย์เป็นต้น
“ปีนี้คงจะต้องเหนื่อยอีกเพราะปัญหาต่างๆ ทั้ง ราคาน้ำมัน และซับไพรม์ ที่เรายังคงต้องเผชิญอยู่ นอกจากนี้ยังมีเรื่อง 30% อีกว่าจะมีการยกเลิกหรือไม่ และเมื่อยกเลิกแล้วจะเป็นอย่างไร ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่ต้องดูและจับทิศทางให้ดี ส่วนอัตราดอกเบี้ยคงจะไม่ปรับลดลงแม้จะมีฐานให้สามารถปรับได้อีก แต่หากจะมองกลับกันว่าเป็นช่วงขาขึ้นในปีนี้ก็ยังไม่เห็นสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจของเราจะดีขึ้นจนทำให้ดอกเบี้ยปรับขึ้นได้”นายวรรธนะกล่าว
อย่างไรก็ตามการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ฟิลลิป กล่าวว่า ยังคงน่าสนใจอยู่ เนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันยังอยู่ในอัตราที่ถูกเมื่อเทียบกับภูมิภาคเดียวกันที่มีการเติบโตเป็นอย่างมากจนทำให้ราคาหุ้นแพงขึ้น โดยในระยะยาวตลาดหุ้นไทยน่าจะมีการปรับขึ้นอีก
นายวรรธนะ กล่าวอีกว่า การดำเนินงานของบริษัทซึ่งถือว่าเป็นบลจ.ใหม่ของวงการในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่หน้าพอใจ โดยปัจจุบันนี้บลจ.ฟิลลิปมีสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 430 ล้านบาท หลังจากเพิ่งมีการเปิดขายกองทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปี2550 ซึ่งจาการการที่บริษัทนี้ไม่มีสาขาและเป็นบลจ.ใหม่ในธุรกิจนี้ทำให้ต้องมีการปรับตัวเพื่อให้ผ่านอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งในเรื่องของช่องทางการขาย และความไว้วางใจของลูกค้า ส่วนในปีนี้บริษัทตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นด้วยการเพิ่มช่องทางการขายผ่านซิลลิงก์เอเยนต์ให้มากขึ้น พร้อมทั้งใช้ผลการดำเนินงานที่ดีเป็นตัวดึงดูดลูกค้าให้มีความเชื่อมั่นในการลงทุนกับกองทุนของบริษัท
"การดำเนินงานของเราจะเน้นในเรื่องของผลการดำเนินงาน ซึ่งที่ผ่านมซิลลิงก์เอเยนต์ของเราบางรายได้เคยขอดู ผลการดำเนินงานก่อน อย่างกอง PcasH ของเรา ซึ่งบางครั้ง 3 เดือน บางครั้งก็ 6 เดือน แต่เมื่อผลการดำเนินงานของกองออกมาดีมากก็เริ่มให้ความสนใจที่จะนำสินค้าเราไปขายให้มากขึ้น เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ได้ขอมูลนี้ไปด้วย ซึ่งทำให้เกิดความไว้วางใจ โดยในปีนี้คงจะต้องมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเดิมเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าให้เชื่อมั่นเรามากขึ้น"นายวรรธนะกล่าว
สำหรับปีนี้ทางบริษัทได้ตั้งเป้าขยายสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร( AUM) ให้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยในช่วงแรกจะมีการออกทุนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3 กองทุน เป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) 2 กอง และกองทุนตราสารหนี้ในประเทศอีก 1กองทุน ส่วนกองที่จะต้องมีการเร่งระดมเงินเพิ่มจะเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) ที่เพิ่งออกไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งจะต้องทำให้สินทรัพย์รวมขั้นต่ำเป็นไปตามเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดไว้คือ 50 ล้านบาทต่อหนึ่งกอง