ประธานตลาดหุ้นไทย แอบหวังเม็ดเงินการขายหุ้นในสหรัฐฯ-ยุโรป ไหลกลับมาลงทุนในเอเชีย ตอกย้ำทีมเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ต้องได้รับการยอมรับจากทั้งนักลงทุนใน-ต่างประเทศ "ภัทรียา" เตรียมโรดโชว์ข้อมูลเศรษฐกิจหลังเลือกตั้งให้ต่างชาติ ขณะที่นายกสมาคมบล. ชี้ปีนี้หุ้นจะสุดผันผวน มีโอกาสรูดแตะ 500 จุด แต่มีโอกาสที่พุ่งเหนือ 1,000 จุด แนะจับตาปัจจัยทั้งใน-นอกประเทศอย่างใกล้ชิด ด้านกองทุนตปท.ชี้ท่องเที่ยว-เกษตร ยังน่าลงทุน มองแนวรับสำคัญ 760 จุด ระบุแนวต้านหากไม่ทะลุ 885 จุดขึ้นต่อยาก
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (8 ม.ค.) ตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวอย่างผันผวน เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนดัชนีก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาในช่วงท้ายตลาด ส่งผลทำให้ดัชนีสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดในแดนบวกได้เป็นวันแรกของปี 2551 โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 811.69 จุด เพิ่มขึ้น 3.38 จุด หรือ 0.42% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 814.85 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 805.71 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,660.49 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,435.73 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 583.92 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,851.81 ล้านบาท
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วงนี้จะมีความผันผวนค่อนข้างมาก จากผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งจากปัจจัยในประเทศและปัจจัยจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีการประกาศออกมาหลายตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ามีสัญญาณที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ในขณะที่ปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในช่วงปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ที่ยังจะมีการรายงานตัวเลขความเสียหายต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาค่อนข้างมากในปีนี้
" จากผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้เม็ดเงินที่นักลงทุนต่างชาติลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก มีการไหลออกเพื่อหวังเพิ่มสภาพคล่อง ซึ่งยังต้องติดตามว่าเม็ดเงินที่ไหลออกในรอบนี้ จะเคลื่อนไหวในทิศทางใดและจะมีการไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียหรือไม่"
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องจับตาซึ่งจะส่งผลต่อจิตวิทยาในการลงทุน คือ การจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี โดยประเด็นสำคัญของทีมงานเศรษฐกิจในรัฐบาลใหม่คือจะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศและต้องได้รับการยอมรับจากคนในประเทศ เนื่องจากประเทศไทยยังต้องเพิ่งพิงการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศค่อนข้างมาก
" หวังว่าจะมีการใช้บรรทัดฐานจากการพิจารณาคดีแปรรูปปตท.ของศาลปกครองกลาง ในการพิจารณาเพื่อแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมาเราเติบโตช้ากว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเพราะเรายังไม่มีความชัดเจนต่อเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง" นายปกรณ์กล่าว
**โบรกเกอร์ชี้หุ้นสุดผันผวน
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ปัจจัยในประเทศโดยเฉพาะปัญหาทางการเมือง ผสมกับปัจจัยลบจากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปัญหาซับไพรม์ เป็นต้น เป็นเหตุที่กดดันการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ จากปัจจัยที่เกิดขึ้นส่งผลทำให้ตลาดหุ้นมีการเคลื่อนไหวที่ผันผวนมาโดยตลอด ซึ่งในปีนี้ปัจจัยต่างๆอาจจะส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้อย่างรุนแรง โดยหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงในช่วง 1-2 เดือนในระดับหลายร้อยจุดก็ถือว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผิดปกติ
"มีความเป็นไปได้ทั้งนั้นที่ดัชนีจะขึ้นไปแตะระดับ 1,000 จุดในเวลาไม่นานและก็มีโอกาสเหมือนกันที่ดัชนีจะทรุดหลุดเหลือ 500 จุดหากมีปัจจัยลบเข้ามากระทบมากๆ"นายกัมปนาทกล่าว
อย่างไรก็ตาม กระแสของเงินทุนในตลาดโลกที่มีความเคลื่อนไหวค่อนข้างรวดเร็ว การไหลออกของเงินจากกลุ่มประเทศใดประเทศหนึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ในทางกลับกันการไหลออกของเงินทุนจากประเทศใดประเทศหนึ่งอาจจะไหลเข้ามาลงทุนในอีกประเทศหนึ่งก็เป็นไปได้
**ตลท.เตรียมโรดโชว์ดึงตปท.
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ปัจจัยที่กดดันภาวะการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในขณะนี้มี 2 ปัจจัย คือ เศรษฐกิจของสหรัฐฯชะลอจากที่นักวิเคราะห์ต่างๆมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะปรับตัวลดลง และจากปัญหาเรื่องซัพไพรม์ รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบกับการซื้อขายของตลาดหุ้นสหรัฐฯทำให้มีความผันผวนสูง ซึ่งส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทยเช่นกัน
ในส่วนอีกปัจจัยเป็นเรื่องปัจจัยทางการเมือง ซึ่งขณะนี้รอความชัดเจนในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงทีมเศรษฐกิจ ที่จะเข้ามาทำให้เศรษฐกิจของไทยมีการเติบโตต่อไป จึงทำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุน ซึ่งทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลใหม่นั้น ควรที่จะมีนโยบายในการที่จะทำให้เศรษฐกิจที่ช่วยให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ โดยจากที่มีหลายหน่วยงานคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโต 4-5%นั้นถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างดี
สำหรับการเดินทางไปโรดโชว์ต่างประเทศนั้นขณะนี้รอการตอบกลับจากบริษัทหลักทรัพย์ รวมถึงการกำหนดเวลา และความแน่ชัดในทีมเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนและบล.ต้องการให้ทีมเศรษฐกิจเดินทางไปด้วยเพื่อชี้แจงข้อมูลและความเป็นไปที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
**เชียร์รอซื้อหุ้นแนวรับ760จุด
นายธิติ ธาราสุข ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นใจการเติบโตของเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยคาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจจะเติบโตในระดับ 4.5-6% โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และกลุ่มเกษตร เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ กลุ่มที่ถือว่าเป็นอีกแรงสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือ กลุ่มสินค้าส่งออก โดยในปีที่ผ่านมาประเทศไทยส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯประมาณ 24-25% ของยอดการส่งออกแต่ด้วยความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐที่เข้าสู่ภาวะถดถอย อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในปีนี้ ที่เกิดขึ้นจากปัญหาซับไพรม์ ซึ่งอาจจะล่ามไปกระทบถึงเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโอกาสในการเติบโตได้ เนื่องจากในปีที่ผ่านมรัฐบาลไม่ได้มีการใช้เงินกับการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากรัฐบาลใหม่สามารถนำเสนอนโยบายพร้อมดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ จะเป็นแรงหนุนที่สำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
นายธิติ กล่าวอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตลาดทุนไทยในปีที่ผ่านมา ที่ส่งผลทำให้การเติบโตไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากไม่สามารถหาบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ในขณะที่สินค้าใหม่ๆที่จะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนก็ยังมีไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น
ทั้งนี้ จากการสอบถามนักลงทุนต่างชาติมองแนวรับดัชนีที่น่าสนใจจะเข้ามาลงทุนในปีนี้อยู่ที่ 760 จุด ในขณะที่แนวต้านที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองจะอยู่ที่ 885 จุด ซึ่งหากไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับดังกล่าวได้โอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์คงเป็นไปได้ยาก
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (8 ม.ค.) ตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวอย่างผันผวน เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนดัชนีก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาในช่วงท้ายตลาด ส่งผลทำให้ดัชนีสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดในแดนบวกได้เป็นวันแรกของปี 2551 โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 811.69 จุด เพิ่มขึ้น 3.38 จุด หรือ 0.42% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 814.85 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 805.71 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,660.49 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,435.73 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 583.92 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,851.81 ล้านบาท
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วงนี้จะมีความผันผวนค่อนข้างมาก จากผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งจากปัจจัยในประเทศและปัจจัยจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีการประกาศออกมาหลายตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ามีสัญญาณที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ในขณะที่ปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในช่วงปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ที่ยังจะมีการรายงานตัวเลขความเสียหายต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาค่อนข้างมากในปีนี้
" จากผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้เม็ดเงินที่นักลงทุนต่างชาติลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก มีการไหลออกเพื่อหวังเพิ่มสภาพคล่อง ซึ่งยังต้องติดตามว่าเม็ดเงินที่ไหลออกในรอบนี้ จะเคลื่อนไหวในทิศทางใดและจะมีการไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียหรือไม่"
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องจับตาซึ่งจะส่งผลต่อจิตวิทยาในการลงทุน คือ การจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี โดยประเด็นสำคัญของทีมงานเศรษฐกิจในรัฐบาลใหม่คือจะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศและต้องได้รับการยอมรับจากคนในประเทศ เนื่องจากประเทศไทยยังต้องเพิ่งพิงการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศค่อนข้างมาก
" หวังว่าจะมีการใช้บรรทัดฐานจากการพิจารณาคดีแปรรูปปตท.ของศาลปกครองกลาง ในการพิจารณาเพื่อแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมาเราเติบโตช้ากว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเพราะเรายังไม่มีความชัดเจนต่อเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง" นายปกรณ์กล่าว
**โบรกเกอร์ชี้หุ้นสุดผันผวน
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ปัจจัยในประเทศโดยเฉพาะปัญหาทางการเมือง ผสมกับปัจจัยลบจากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปัญหาซับไพรม์ เป็นต้น เป็นเหตุที่กดดันการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ จากปัจจัยที่เกิดขึ้นส่งผลทำให้ตลาดหุ้นมีการเคลื่อนไหวที่ผันผวนมาโดยตลอด ซึ่งในปีนี้ปัจจัยต่างๆอาจจะส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้อย่างรุนแรง โดยหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงในช่วง 1-2 เดือนในระดับหลายร้อยจุดก็ถือว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผิดปกติ
"มีความเป็นไปได้ทั้งนั้นที่ดัชนีจะขึ้นไปแตะระดับ 1,000 จุดในเวลาไม่นานและก็มีโอกาสเหมือนกันที่ดัชนีจะทรุดหลุดเหลือ 500 จุดหากมีปัจจัยลบเข้ามากระทบมากๆ"นายกัมปนาทกล่าว
อย่างไรก็ตาม กระแสของเงินทุนในตลาดโลกที่มีความเคลื่อนไหวค่อนข้างรวดเร็ว การไหลออกของเงินจากกลุ่มประเทศใดประเทศหนึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ในทางกลับกันการไหลออกของเงินทุนจากประเทศใดประเทศหนึ่งอาจจะไหลเข้ามาลงทุนในอีกประเทศหนึ่งก็เป็นไปได้
**ตลท.เตรียมโรดโชว์ดึงตปท.
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ปัจจัยที่กดดันภาวะการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในขณะนี้มี 2 ปัจจัย คือ เศรษฐกิจของสหรัฐฯชะลอจากที่นักวิเคราะห์ต่างๆมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะปรับตัวลดลง และจากปัญหาเรื่องซัพไพรม์ รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบกับการซื้อขายของตลาดหุ้นสหรัฐฯทำให้มีความผันผวนสูง ซึ่งส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทยเช่นกัน
ในส่วนอีกปัจจัยเป็นเรื่องปัจจัยทางการเมือง ซึ่งขณะนี้รอความชัดเจนในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงทีมเศรษฐกิจ ที่จะเข้ามาทำให้เศรษฐกิจของไทยมีการเติบโตต่อไป จึงทำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุน ซึ่งทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลใหม่นั้น ควรที่จะมีนโยบายในการที่จะทำให้เศรษฐกิจที่ช่วยให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ โดยจากที่มีหลายหน่วยงานคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโต 4-5%นั้นถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างดี
สำหรับการเดินทางไปโรดโชว์ต่างประเทศนั้นขณะนี้รอการตอบกลับจากบริษัทหลักทรัพย์ รวมถึงการกำหนดเวลา และความแน่ชัดในทีมเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนและบล.ต้องการให้ทีมเศรษฐกิจเดินทางไปด้วยเพื่อชี้แจงข้อมูลและความเป็นไปที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
**เชียร์รอซื้อหุ้นแนวรับ760จุด
นายธิติ ธาราสุข ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นใจการเติบโตของเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยคาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจจะเติบโตในระดับ 4.5-6% โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และกลุ่มเกษตร เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ กลุ่มที่ถือว่าเป็นอีกแรงสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือ กลุ่มสินค้าส่งออก โดยในปีที่ผ่านมาประเทศไทยส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯประมาณ 24-25% ของยอดการส่งออกแต่ด้วยความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐที่เข้าสู่ภาวะถดถอย อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในปีนี้ ที่เกิดขึ้นจากปัญหาซับไพรม์ ซึ่งอาจจะล่ามไปกระทบถึงเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโอกาสในการเติบโตได้ เนื่องจากในปีที่ผ่านมรัฐบาลไม่ได้มีการใช้เงินกับการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากรัฐบาลใหม่สามารถนำเสนอนโยบายพร้อมดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ จะเป็นแรงหนุนที่สำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
นายธิติ กล่าวอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตลาดทุนไทยในปีที่ผ่านมา ที่ส่งผลทำให้การเติบโตไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากไม่สามารถหาบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ในขณะที่สินค้าใหม่ๆที่จะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนก็ยังมีไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น
ทั้งนี้ จากการสอบถามนักลงทุนต่างชาติมองแนวรับดัชนีที่น่าสนใจจะเข้ามาลงทุนในปีนี้อยู่ที่ 760 จุด ในขณะที่แนวต้านที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองจะอยู่ที่ 885 จุด ซึ่งหากไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับดังกล่าวได้โอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์คงเป็นไปได้ยาก