xs
xsm
sm
md
lg

"ณรงค์ชัย"แนะเร่งตั้งรัฐบาลเสนอใช้งบกระตุ้นการลงทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"ณรงค์ชัย" เร่งภาคการเมืองจัดตั้งรัฐบาลหนุนเศรษฐกิจประเทศขยายตัว พร้อมเสนอเร่งเบิกจ่ายงบกลางปีกระตุ้นการลงทุนเป็นอันดับแรก ชี้ยังขาดดุลได้อีกถึง 80,000 ล้านบาทดันการลงทุนเพิ่มเป็น 25% ของจีดีพี ด้านวงการกองทุนมองตลาดหุ้นไทยปีหนู ยังผันผวนต่อ จากแรงกดดันทั้งในและต่างประเทศ

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยในปี 2551 พร้อมที่จะลงทุนทุกด้านแล้ว แต่ยังมีปัญหาเรื่องของการเมืองที่ยังเป็นอุปสรรคอยู่ ดังนั้น ในภาคการเมืองต้องเร่งจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพราะยิ่งล่าช้าก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างไม่เดินหน้าไปไหน ซึ่งโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในขณะนี้ถือว่าพร้อมหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าหรืออุตสาหกรรมปิโตร-เคมีที่มีมูลค่ารวมกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งโครงการเหล่านี้ รอเพียงรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาเป็นผู้ดัดสินใจเท่านั้น

" ตอนนี้การลงทุนหลายอย่างพร้อมแล้ว และสามารถทำได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องรอรัฐบาลใหม่ก็ได้ เพราะหลายโครงการก็มีการอนุมัติไปบ้างแล้ว แต่ถ้าหากยังรอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาเป็นคนตัดสินใจ อาจนานเกินไป" นายณรงค์ชัยกล่าว

ทั้งนี้ หากมองดูภาพรวมของเศรษฐกิจในปัจจุบัน ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอย่างที่หลายคนคิด เพียงแต่เป็นกระบวนการของการรอทำให้ทุกอย่างจบไปตามขั้นตอนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศต่อแล้ว สิ่งที่จะต้องทำเป็นอันดับแรก คือการเร่งใช้งบประมาณกลางปีเพื่อกระตุ้นการลงทุนของรัฐบาลให้มากขึ้น ซึ่งการใช้งบประมาณดังกล่าวมองว่า ยังสามารถตั้งงบประมาณขาดดุลได้มากกว่าเดิมอีก 80,000 ล้านบาท เพื่อนำเม็ดเงินมาลงทุนและการแก้ปัญหาค่าเงินบาท ขณะที่หนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับต่ำในตอนนี้ สามารถเร่งการลงทุนให้เพิ่มขึ้นได้ถึง 25% ของรายได้ประชาชาติจาก 12% ในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ การใช้งบประมาณดังกล่าวต้องใช้ให้มีประสิทธิภาพ โดยเน้นการลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคและทรัพยากร

นายณรงค์ชัย กล่าวเชื่อว่า พรรคพลังประชาชนจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ส่วนโฉมหน้าของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามานั้น โดยส่วนตัวคาดว่า คงจะเป็นที่ยอมรับได้ เพราะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจน่าจะเป็นบุคคลภายนอกมากกว่าส.ส.ของพรรคพลังประชาชนเอง เนื่องจากบุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีส่วนใหญ่ เป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ซึ่งหากรัฐบาลชุดใหม่เร่งตัดสินใจสานต่อโครงการต่างๆ ก็จะหนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตถึง 5%ได้ในปีนี้ เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 4.5% ถึงแม้จะยังไม่มีนักการเมืองเข้ามาก็ตาม

สำหรับปัญหาภายนอกประเทศ โดยเฉพาะปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) นั้น นายณรงค์ชัยกล่าวว่า เรื่องนี้เราไม่ควรจะตกใจจนเกิดเหตุ เพราะปัญหาซับไพรม์ที่ส่งผลต่อการลงทุนทั่วโลกอยู่ในขณะนี้เป็นปัญหาเรื่องของเทคนิค ซึ่งขณะนี้ มีการตั้งสำรองเยอะ ทำให้กระทบต่อระบบสภาพคล่อง เพราะการรับเงินเข้ามาทั้งๆ ที่มีจำนวนมากอยู่แล้วทำให้เกิดความบิดเบี้ยวทางเทคนิค ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ใส่เงินเข้ามาในสภาพคล่องอีกถึง 70,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากสามารถจัดการได้ดีกว่าเดิมก็เชื่อว่าจะไม่เป็นปัญหา แต่ในเรื่องของระยะเวลา คงไม่มีใครรู้ว่าปัญหานี้จะกระทบการลงทุนไปอีกนานแค่ไหน

ส่วนปัญหาราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น มองว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับรุนแรงหรือพังได้ ซึ่งเรื่องของราคาน้ำมันเราคิดเป็นดอลลาร์อย่างเดียวไม่ได้ เพราะถ้ามองในแง่ของเงินบาทแล้วไม่ได้มีผลกระทบมากนัก แต่ปัญหาซับไพรม์ถือว่าเป็นปัญหาที่น่ากลัวกว่า เพราะสามารถลุกลามและส่งผลกระทบไปได้ทั่วโลก

กองทุนมองหุ้นหลังเลือกตั้งผันผวน

นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสานงานธุรกิจกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ คาดว่าจะมีหลายปัจจัยทั้งด้านบวกและลบเข้ามากดดัน แต่ก็เชื่อว่าดัชนี SET มีโอกาสแตะ 1,000 จุดได้ โดยคาดว่าสิ้นปีนี้ ดัชนี SET จะอยู่ที่ราว 960 จุด บวก/ลบ 20 จุด

โดยปัจจัยสำคัญในขณะนี้ คือ รอการจัดตั้งรัฐบาลและผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งให้เป็น รมว.คลัง รวมทั้งผู้ที่จะเข้ามาดูแลงานด้านเศรษฐกิจในสาขาต่าง ๆ หากมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้วก็เชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว รวมทั้งโครงการเมกะโปรเจกต์จะเดินหน้าต่อ ทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในไทย เป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทาง

นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า ขณะนี้ปัจจัยภายในประเทศไม่แน่นอน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง หากมีรัฐบาลแต่ขาดเสถียรภาพก็จะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการบริหารประเทศ ขณะเดียวกัน ปัจจัยจากต่างประทศ โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงชะลอตัว จึงคาดว่าเฟดอาจจะปรับลดดอกเบี้ยถึง 0.50% ในการประชุมครั้งต่อไป ดังนั้น จึงมองว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนมาก จากความไม่แน่นอนทั้งจากในและต่างประเทศ แต่ก็เป็นโอกาสลงทุนในหุ้น ซึ่งแนะนำให้ถือระยะยาว

นายศุภกร สุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า ตลาดหุ้นขณะนี้ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก คือปัจจัยต่างประเทศที่ยังกังวลภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ชะลอตัว และปัจจัยในประทศที่ยังรอการจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าออกมาดีภาพการลงทุนก็จะดีตาม ทั้งนี้ คาดวว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะกลับมา 850 จุด และแนวทดสอบที่ 870 จุด และมีโอกาสแตะ 900 จุดได้

ด้านนางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้จะผันผวนมาก ทั้งจากปัจจัยในประเทศที่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล และปัจจัยภายนอกที่มีทั้งปัจจัยบวกและลบที่มีผลตลาดหุ้นทั่วโลกก็ผันผวนเช่นกัน โดยในปีนี้จะมีประมาณ 20 ประเทศที่จัดการเลือกตั้งใหม่ ขณะที่ปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลกจากราคาน้ำมันที่ถีบตัวสูงขึ้น และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดก็จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนลดลง จากปีก่อนได้ผลตอบแทน 4% ส่วนตลาดหุ้นไทยมองว่าจะให้ผลตอบแทนได้ 12-15%
กำลังโหลดความคิดเห็น