xs
xsm
sm
md
lg

สิ้นปีกองหุ้นขาดทุนทั่วหน้า ทุกตลาดช้ำแนะเปลี่ยนสินค้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สิ้นปีนี้รีเทิร์นกองทุนหุ้นอาจติดลบ ขาดทุนสูงสุดประมาณ 10 –15% จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกประสบปัญหาขาดทุนกันทั่วหน้า นักลงทุนต่างแดนเทขายทุกตลาด ผู้จัดการกองทุนย้ำเหมือนกันทุกแห่ง แนะนำหลีกเลี่ยงและเปลี่ยนแปลงช่องทางการลงทุนเพื่อสู้เงินเฟ้อ โดยเฉพาะคอมมอดิตี้ หรือพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์

แหล่งข่าวผู้จัดการกองทุนรายหนึ่ง กล่าวถึงภาวะการลงทุนในกองทุนหุ้นว่า ในช่วงที่ผ่านมาภาวะการลงทุนมีความคล้ายคลึงกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่นักลงทุนต่างชาติถอนตัวออกจากกระดานหุ้นเมืองไทย แต่ต่อมาเมื่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นมาถึง 600 จุดและต่อเนื่องมาถึง 700 จุดนั้น พบว่ามีการกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยเป็นจำนวนมาก รวมถึงนักลงทุนรายย่อยที่เพิ่มจำนวนขึ้น ทำให้มีนักลงทุนหลายรายได้รับกำไรจากการลงทุนค่อนข้างเยอะ แต่พอกลับมาเกิดปัญหาเศรษฐกิจเช่นนี้ จึงส่งผลต่อเม็ดเงินลงทุนในหุ้นให้หายไปอีกครั้ง โดยถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป การลงทุนในหุ้นปีนี้จะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้เท่ากับปี่ที่ผ่านมา หรืออาจเลยไปถึงภาวะขาดทุนได้

“ณ สิ้นปีคาดว่าดันชีน่าจะอยู่ที่ประมาณ 750 จุด ส่วนผลตอบแทนของกองทุนหุ้นคาดว่าจะติดลบ หรือขาดทุนประมาณ 10 –15% ในทุกกอง เพราะทุกตลาดหุ้นทั่วโลกประสบปัญหาขาดทุนด้วยกันหมดทั้งสิ้น และโดยรวมตลาดหุ้นไทยยังเจ็บตัวน้อยกว่าที่ตลาดหุ้นที่อื่นๆ อาทิเวียดนามที่ประสบปัญหามากกว่าเรา ซึ่งขณะนี้ขาดทุนไปแล้วประมาณ 60% จีน 40 –50% ของไทยขาดทุนน้อยกว่าอยู่ที่ 20-25% แต่สิงคโปร์ มาเลเซีย น้อยกว่าเรา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใน ยุโรป หรืออเมริกาก็เหมือนกัน เพราะนักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นออกมาหมดทุกที่ ยกเว้นถ้าลงทุนคอมมอดิตี้ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ประเภท น้ำมัน อาจจะได้รับกำไรบ้าง”

แหล่งข่าว กล่าวว่า หากต้องการลงทุนจริงแนะนำว่าควรจัดสรรพอร์ตการลงทุนให้ดี โดยลงทุนในหุ้นเพียง 10 –20% เท่านั้น ที่เหลืออาจไปลงทุนในกองทุนแอลทีเอฟ หรือกองทุนอาร์เอ็มเอ็ม เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่หากไม่ต้องการรับสิทธิเรื่องนี้ และช่วงนี้ไม่อยากรับความเสี่ยงอะไรเลย ก็อย่าเข้ามาลงทุนในหุ้นดีกว่า ดังนั้นควรถือเงินสดไว้ และเข้มงวดกับค่าใช้จ่ายของตนเองมากขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกวิธีที่ต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ หรืออาจนำเงินลงทุนต่างประเภทผ่านกองทุนเอฟไอเอฟประเภทต่างๆ เพราะทำให้มีทางเลือกในการลงทุนเพิ่มขึ้น

“ในบ้านเราสินค้าทางการเงินยังมีค่อนข้างจำกัด แต่ในต่างประเทศนับว่าเป็นอีกทางเลือกในการลงทุนที่น่าสน เพราะเขามีตราสารทางการเงินให้เลือกได้หลายช่อง อย่างไรก็ตามหากคนที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงในการลงทุนผ่านหุ้นไทย ก็ขอแนะนำไปเลือกลงทุนในสินค้าประเภทอื่นๆแทน เพราะช่วงนี้ตลาดหุ้นยังมีความผันผวนสูง”แหล่งข่าวกล่าว

ทั้งนี้ แหล่งข่าว กล่าวย้ำถึงความเสี่ยงในการลงทุนว่า นักลงทุนควรที่จะศึกษานโยบายการลงทุนของกองทุนให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะอย่าลืมว่ากองทุนรวมสามารถล้มได้ เหมือนในเช่นอดีตที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ยังมีหลายกองทุนเก่าที่มูลค่าหน่วยลงทุนไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นมาได้เท่าเดิม อาทิ กองทุนที่ลงทุนในหุ้นกู้ภาพเอกชนของบางโครงการ ยังได้รับผลกระทบจากกรณีที่เอกชนเหล่านั้นไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้ตามที่กำหนด ซึ่งสร้างความเสียหายต่อเรื่องสัดส่วนการลงทุน ดังนั้นส่วนหนึ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณาไว้เสมอ นั่นคือการยอมรับความเสี่ยง ว่าตนเองมีมากน้อยแค่ไหน

ส่วนการลงทุนผ่านกองทุนรวม เพื่อให้สามารถชนะเงินเฟ้อได้นั้น มีให้นักลงทุนได้ตัดสินใจหลายประเภท ตั้งแต่กองตราสารหนี้ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนอยู่ตั้งแต่ 3.4 –5.0% แต่ถ้าอยากได้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อและไม่ต้องการรับความเสี่ยงสูงมากไป กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพราะ ให้ผลตอบแทนพอกับเงินเฟ้อที่ 8-9% หรือจะตัดสินใจลงทุนผ่านกองทุนหุ้น ที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง แต่ความเสี่ยงก็สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

นอกจากนี้ แหล่งข่าว กล่าวถึงการลงทุนในทองคำว่า ขณะนี้มีนักลงทุนหลายคนคิดว่าการลงทุนประภทนี้ไม่เสี่ยง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะราคาทองคำสามารถเกิดการผันผวนได้ตลอดเวลา โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมามีนักลงทุนหลายคนได้กำไรจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่เรื่องดังกล่าวไม่มีความแน่นอนเสมอไป เพราะราคาทองอาจปรับตัวลดลงมาจาก 900 เหรียญสหรัฐได้ ซึ่งจะนำมาสู่การขาดทุนนั่นเอง

สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นทั้งหมด 105 กองทุน ในช่วง 7เดือนแรกของปี 2551(1ม.ค.-31 ก.ค.) พบว่า กองทุนที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดคือ กองทุนเปิดอเบอร์ดีนไทย เอคควิตี้ ดีวิเด็น โดยมีขนาดสินทรัพย์ 2,059 ล้านบาท และมีผลขาดทุน -11.13% รองลงคือกองทุนเปิดอยุธยาทุนปันผล ขนาดสินทรัพย์ 1,265.81 ล้านบาท ขาดทุน -11.48% อันดับ3กองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล ขนาด 359.82 ล้านบาท ขาดทุน -13.33%

ขณะที่อันดับ 4 กองทุนเปิดธนชาตฟันด์ดาเมนทอลพลัส ขนาดกองทุน 415.99 ล้านบาท ขาดทุน -13.97% และอันดับ 5 กองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล ขนาดกองทุน 95.56 ล้านบาท ขาดทุน -14.15% โดยกองทุนหุ้นที่มีผลดำเนินงานติดลบสุด คือ กองทุนเปิดทหารไทย เซท50 ปันผล ขนาดกองทุน 764.17 ล้านบาท ขาดทุน -23.10%
กำลังโหลดความคิดเห็น