xs
xsm
sm
md
lg

20 ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์คุยกับผู้จัดการกองทุน
โดย ดร.ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
นักวิเคราะห์การลงทุนอาวุโส
บลจ.อยุธยา จำกัด

ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ผมได้เขียนถึงเรื่องเกี่ยวกับเงินเฟ้อมาหลายครั้ง ทั้งนี้ นอกจากเนื้อหาจะเข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว การยกเรื่องของอัตราเงินเฟ้อมาอธิบายในตอนนี้จะสามารถช่วยให้ท่านผู้อ่านเข้าใจภาพได้ง่ายขึ้น เพราะได้สัมผัสกับผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อจริงๆ สำหรับบทความที่ผ่านๆมา ผมมักจะยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น ที่ผ่านมาเงินฝากของท่านหายไปกับเงินเฟ้อมากเพียงใด ในวันนี้ ผมจะขอแสดงความคิดเห็นและคาดการณ์ว่านับจากนี้ไปอีก 20 ปี ความเป็นไปของค่าเงินของท่านจะเป็นไปในทิศทางใด เพื่อที่ท่านผู้อ่านจะได้วางแผนการลงทุนเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ท่านผู้อ่านพอจะจำได้ไหมครับว่าเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา ราคาก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ชามละเท่าไร ผมเองก็ไม่แน่ใจครับ เพราะช่วงนั้นอยู่โรงเรียนประจำ จึงไม่ค่อยได้มีโอกาสสัมผัสกับการใช้จ่ายภายนอกโรงเรียนมากนัก แต่คิดว่าคงจะอยู่ที่ประมาณชามละ 15 บาท เมื่อเทียบกับราคาในปัจจุบันที่อยู่ที่ราคา 35 บาท ซึ่งคิดเป็นกว่า 2 เท่าจากราคาในอดีต และน่าจะเป็นบรรทัดฐานเบื้องต้นในการที่จะมองว่าค่าใช้จ่ายในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้าจะเป็นเช่นไร บางท่านอาจจะมองว่า 20 ปีไกลเกินไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว 20 ปีถือว่าไม่นานสำหรับการที่ท่านจะเริ่มวางแผนสำหรับอนาคต

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจจากวันนี้ไปอีก 20 ปี สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอนก็คือค่าเงินในอนาคต สมมุติว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในรอบ 20 ปีจากนี้อยู่ที่ 3% หากท่านนำเงิน 20,000 บาทของท่านในวันนี้ใส่ตุ่มแล้วฝังดินไว้ แล้วอีก 20 ปีขุดขึ้นมาใช้ เงินของท่านจะมีค่าประมาณ 11,074 บาท ซึ่งก็หมายความว่ามูลค่าเงินของท่านหายไปประมาณ 45% หากจะยกตัวอย่างใกล้ๆตัวอย่างราคาก๋วยเตี๋ยว สมมุติว่าเดือนหนึ่ง ท่านผู้อ่านทานก๋วยเตี๋ยวราคาชามละ 35 บาททุกมื้อตลอดทั้งเดือน ท่านจะมีค่าใช้จ่ายสำหรับค่าก๋วยเตี๋ยวเดือนละ 3,150 บาท และเมื่อสมมุติให้ราคาก๋วยเตี๋ยวเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อที่ปีละ 3% ราคาก๋วยเตี๋ยวจะตกที่ชามละ 63 บาท ซึ่งจะทำให้ท่านมีค่าใช้จ่ายสำหรับค่าก๋วยเตี๋ยวเดือนละ 5,670 บาท

แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ อัตราเงินเฟ้อน่าจะสูงกว่านี้ สาเหตุก็คือ ดังที่ท่านพบเห็นในปัจจุบัน เมื่อประชากรโลกเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจของประเทศต่างๆพัฒนาขึ้น ความต้องการในการใช้ทรัพยากรต่างๆย่อมมีมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดมีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะส่งผลกระทบต่อไปยังสินค้าอื่นๆ นอกจากนี้ ในส่วนของบริการที่เป็นของรัฐ รัฐวิสาหกิจบางส่วนอาจจะถูกแปรรูปไปเป็นเอกชน หรือรัฐอาจให้การสนับสนุนน้อยลง ซึ่งจะส่งผลให้บริการนั้นๆจะถูกคิดค่าบริการตามราคาต้นทุนที่แท้จริง สิ่งที่จะตามมาก็คือต้นทุนของสินค้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถูกแปรรูปของบริการภาครัฐก็จะถูกกระทบไปด้วย ผู้ผลิตก็จะผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นสู่ผู้บริโภค และจะส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อโดยรวม

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีหลายปัจจัยที่จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าในอดีตที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีบางปัจจัยที่จะช่วยชะลอไม่ให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น รัฐบาลมีการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงจัง เช่น ลงทุนในการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนในด้านการคมนาคมและขนส่ง การพัฒนาการผลิตให้ได้ผลผลิตสูงขึ้นและมีต้นทุนการผลิตต่ำลงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยชะลออัตราเงินเฟ้อไม่ให้ปรับตัวขึ้นเร็วเกินไป

ในขณะที่ เทคโนโลยีต่างๆที่จะถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้น ก็จะมีส่วนช่วยในการลดค่าใช้จ่ายและการใช้ทรัพยากรเช่นกัน ดังเช่นในปัจจุบันที่เทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บเอกสาร และการติดต่อสื่อสาร ทำให้การทำงานมีความสะดวกรวดเร็วขึ้น ซึ่งหากเทียบกับในอดีตแล้ว การจัดเก็บเอกสาร นอกจากจะสิ้นเปลืองไม้ที่นำมาทำกระดาษแล้ว ยังต้องมีสถานที่ที่ใช้เก็บเอกสารด้วย และการค้นหาเอกสารก็ต้องใช้เวลานาน ทำให้เสียเวลาในการทำงาน

จากที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า สิ่งที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น เป็นสิ่งที่มีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างแน่นอน ในขณะที่ปัจจัยที่จะช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้แต่ไม่แน่นอน ดังนั้น ท่านผู้อ่านไม่ควรตั้งอยู่บนความประมาท การออมและการลงทุนอย่างมีวินัยจะช่วยให้ท่านสามารถรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ผมเชื่อว่า ท่านผู้อ่านทุกท่านคงไม่มีใครอยากมีอนาคตที่ลำบาก และเพื่อเป็นการสร้างรากฐานให้กับอนาคตของท่านและคนที่ท่านรัก ท่านควรเริ่มออมตั้งแต่วันนี้ครับ เพราะการออมของท่านเพียงปีละ 60,000 บาท หรือตกเดือนละ 5,000 บาท ท่านจะมีเงินมากกว่า 1,600,000 บาทในอีก 20 ปีข้างหน้า (คิดที่อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี) หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 900,000 บาทเมื่อเทียบกับค่าเงินในวันนี้ (คิดที่อัตราเงินเฟ้อ 3% ต่อปี) ซึ่งจะทำให้ท่านมีเงินกินก๋วยเตี๋ยวไปได้อีกกว่า 10 ปีครับ

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น