xs
xsm
sm
md
lg

กองผสมเทน้ำหนักลุยตราสารหนี้ หลบภาวะราคาหุ้นดิ่งจากปัจจัยลบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กองทุนผสมปรับพอร์ตรับภาวะหุ้นผันผวน บรรดาผู้จัดการกองทุนเทน้ำหนักให้ตราสารหนี้เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนในระดับดีท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจ แต่ย้ำไม่ทิ้งหุ้นพื้นฐาน ปันผลสวย ขณะเดียวกัน เฝ้ารอโอกาสดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฟื้นตัว เพื่อเข้าลงทุนรับผลตอบแทนในรูปปันผล และราคาหุ้นอีกครั้ง

นายนที ดำรงกิจการ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยถึงการบริหารกองทุนรวมผสมของบริษัท ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากปัจจัยลบต่างๆว่า ขณะนี้บริษัทได้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลง แต่ยังคงถือหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีการปันผลสูง เพราะหุ้นประเภทนี้ราคาหลักทรัพย์จะมีความผันผวนกับภาวะตลาดหลักทรัพย์น้อยมาก

ขณะเดียวกัน บริษัทจะเพิ่มน้ำหนักลงทุนใสตราสารหนี้ เพิ่มขึ้น ในลักษณะพักการลงทุน เพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้

“ตราสารหนี้ที่เราเน้นเข้าลงทุนนั้น จะเป็นตราสารหนี้ที่มีอายุประมาณ 3 ปี ส่วนตราสารหน้ระยะยาว หรือพันธบัตรระยะยาวอายุ 10 ปีนั้น บริษัทคงเลี่ยงการลงทุนในตราสารดังกล่าว เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย และผลตอบแทนในอนาคตที่อาจปรับตัวลดลง”

อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติของกองทุนผสมที่จะให้ความสำคัญและเน้นน้ำหนักลงทุนผ่านหุ้นมากกว่า เพราะแม้จะใช้เวลาในการถือครองหลักทรัพย์นั้นๆสั้นกว่าการถือครองตราสารหนี้ แต่การลงทุนในหุ้นยังสามารถให้ผลตอบแทนที่สูง และดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ ดังนั้นการเพิ่มสัดส่วนลงทุนในตราสารหนี้ช่วงเป็นการการพักเงืนลงทุน เพื่อรอจังหวะ หรือ โอกาสในการกลับเข้าไปลงทุนในตราสารทุนต่อ ยามเมื่อภาวะการลงทุนกลับมาเป็นปกติ

แหล่งข่าวผู้จัดการกองทุนรายหนึ่ง กล่าวว่า จากภาวะดังกล่าวย่อมเป็นที่แน่นอนว่า กองทุนผสมจะทำการปรับพอร์ตลงทุน ด้วยหันมาเน้นลงทุนผ่านตราสารหนี้ระยะสั้นเพิ่มขึ้น โดยผู้จัดการกองทุนจะทำการลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงไป อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะมีผู้จัดการกองทุนบางส่วนมองมุมกลับว่านี่คือโอกาสในการสร้างผลตอบแทนกองทุนผสมให้สูงขึ้นได้อีก หากเข้ามาลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาหุ้นพื้นฐานดีหลายตัวมีการปรับตังลดลงมาก จึงถือเป็นโอกาสในการเข้าไปหุ้นเหล่านี้มาไว้ในพอร์ตเพื่อรอราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น และขายทำกำไรออกมากกว่า ที่จะถือหุ้นนั้นไว้ในระยะยาวเพื่อรอรับเงินปันผล

“ภาวะเช่นนี้ โดยทั่วไปก็จะหันไปลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มขึ้น แต่น่าจะมีบางส่วนที่เห็นช่วงนี้เป็นโอกาสในการเข้าเก็บหุ้นดีราคาถูฏ แต่จะไม่มีการถือหุ้นนั้นไว้ยาว โดยเชื่อว่าจะเป็นการลงทุนแบบเก็งกำไร หรือตามภาวะตลาด หมายถึงเมื่อราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาระดับหนึ่งแล้วก็จะขายออกไป เพราะกลยุทธ์ทั่วไปของกองทุนผสมนั้น การจะสร้างผลตอบแทนให้ได้ในระดับสอง กองทุนจำเป็นต้องให้ความสำคัญของการลงทุนในหุ้นมากกว่า”แหล่งข่าวรายเดิมให้ความเห็น

ทั้งนี้ข้อมูลจาก สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) ณ สิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาระบุว่า เม็ดเงินลงทุนรวมของกองทุนผสมทั้งระบบอยู่ที่ 245,761,718,553.84 บาท จากจำนวนกองทุนที่ได้ทำการจัดตั้ง 122 กองทุน โดยบลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) มีเม็ดเงินลงทุนในกองทุนรวมผสมสูงสุดที่ 98,593 ล้านบาท อันดับ2.คือ บลจ.กรุงไทย ซึ่งมี 74,231 ล้านบาท อันดับ3. บลจ.กสิกรไทย มีเม็ดเงินกองทุนรวมผสมทั้งหมด 27,132 ล้านบาท อันดับ4.บลจ.ไอเอ็นจี มีเม็ดเงิน 12,599 ล้านบาท และอันดับ5. บลจ.ธนชาต มีเม็ดเงิน 8,375 ล้านบาท

ขณะที่ข้อมูลจาก ลิปเปอร์ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 ระบุถึงผลดำเนินงานกองทุนรวมผสมในลักษณะต่างๆ ดังนี้ สำหรับกองทุนรวมผสมแบบที่มีความเสี่ยงต่ำ พบว่ากองทุนรวม ทิสโก้ เพิ่มผล 6 ของบลจ.ทิสโก้ จำกัด ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีสูงสุดเป็นอันดับ1.ที่ 0.23% ย้อนหลัง 3 เดือนที่-0.35 และย้อนหลัง 1 ปีที่ 5.05% รองลงมาคือกองทุนรวมสินวัฒนา ของบลจ.กสิกรไทย ซึ่งมีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 0.10% ย้อนหลัง30 เดือน –0.24% และย้อนหลัง1 ปีที่ 2.19% ขณะที่อันดับ3.คือ กองทุนเปิดเค ไลฟ์สไตล์ 2500 ซึ่งผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีที่ –3.00% ย้อนหลัง 3 เดือน –2.88% ย้อนหลัง 1ปี –0.38%

ส่วนกองทุนรวมผสมแบบสมดุล พบว่ากองทุนรวม ฮาร์เวสท์ ของ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ให้ผลตอบแทนย้อนหลังนับตั้งแต่จัดตั้งสูงสุดที่ –0.61% ย้อนหลัง 3 เดือนที่ 0.13% ย้อนหลัง1ปี 9.21% รองลงมาคือกองทุนรวม ไอเอ็นจีไทยบาลานซ์ฟันด์ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้ง –0.99% ย้อนหลัง 3 เดือน 0.51% และย้อนหลัง 1ปี 10.97% อันดับ3.กองทุนเปิดไพบูลย์ทรัพย์ปันผล ของบลจ.ธนชาต ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้ง –3.22% ย้อนหลัง 3 เดือน –0.21% ย้อนหลัง 1ปี 7.25%

ขณะที่ กองทุนรวมวายุภักษ์ ซึ่งบริหารจัดการโดย บลจ.กรุงไทย และบลจ.เอ็มเอฟซี เป็นกองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่นที่ให้ผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งสูงสุดที่ 3.52% ย้อนหลัง 3 เดือน –0.20% และย้อนหลัง 1 ปี 6.53% รองลงมาคือ กองทุนเปิดแมกซ์ตราสารหนี้ 12 ของบลจ.นครหลวงไทย ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้ง 2.01% ย้อนหลัง 3 เดือน 0.38% อันดับ3.ได้แก่ กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 10/51เอ ของบลจ.กสิกรไทย ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้ง 1.79% และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนที่ 0.38%
กำลังโหลดความคิดเห็น