xs
xsm
sm
md
lg

บีทีส่งกองทุนครบวงจรรักษาฐานแบงก์แม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ. บีที เตรียมพร้อมรับมือ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก นำกองทุนคุ้มครองเงินต้นและเอฟไอเอฟไว้เป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนแบบครบวงจร หวังกันลูกค้าแบงก์แม่ไปลงทุนที่อื่น เผยเป็นปลิ้ม ที่ผ่านมาออกเอฟไอเอฟตรงใจนักลงทุน หลังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีชนะเงินเฟ้อ ล่าสุด เตรียมเปิดขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ศูนย์กระจายสินค้า มูลค่าโครงการ 600 - 620 ล้านบาท คาดการณ์ผลตอบแทน 6 – 7 % ต่อปี
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยว่า การที่ พ.ร.บ. คุ้มครองเงินฝากกำลังจะมีการประกาศใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ เชื่อว่าต่อไปในอนาคตการลงทุนในกองทุนรวม จะมีบทบาทมากขึ้นนอกเหนือจากการฝากเงินเพียงอย่างเดียว โดยบริษัทได้จัดเตรียมไว้ทั้งกองทุนคุ้มครองเงินต้น และกองทุนรวมต่างประเทศไว้เป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนไว้เรียบร้อยแล้ว

“ในแง่ของนักลงทุนกับพ.ร.บ. คุ้มครองเงินฝาก นั้นจะเป็นการปรับตัวของนักลงทุนว่าจะสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงไร เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ฝากเงินไว้กับทางธนาคารนั้นจะไม่ค่อยชอบความเสี่ยงมากนัก โดยกองทุนที่นำมาเสนอส่วนใหญ่นั้นเป็นกองทุนมันนี่มาเก็ตที่มีสภาพคล่องสูง และมีความเสี่ยงไม่สูงมากนัก ” นายอนุสรณ์ กล่าว

ทั้งนี้ ริษัทได้เตรียมกองทุนไว้รองรับนักลงทุนกลุ่มดังกล่าวไว้เรียบร้อยแล้ว โดยกองทุนดังกล่าวจะเป็นกองทุนประเภทคุ้มครองเงินต้น ที่มีระยะเวลาการลงทุน 3 เดือน และ 6 เดือน ซึ่งจะได้ถูกจัดหมวดหมู่ให้อยู่ในกลุ่มกองทุนหลับสบาย โดยปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันจำนวน 7 กองทุน ประกอบไปด้วยกองทุนเปิดบีที คุ้มครองเงินต้น 3M1 , กองทุนเปิดคุ้มครองเงินต้น 6M3 , กองทุนเปิดบีที คุ้มครองเงินต้น 12M11 , กองทุนเปิดคุ้มครองเงินต้น 3M 2 , กองทุนเปิดคุ้มครองเงินต้น 3M3 , และกองทุนเปิดบีที คุ้มครองเงินต้น 6M4

นอกเหนือจากนั้น บริษัทได้เตรียมกองทุนไว้รองรับนักลงทุนจากแบงก์แม่ไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นการไม่ให้เสียฐานลูกค้าจากแบงก์แม่ออกไปอยู่ที่อื่น ๆ เพราะถ้านักลงทุนออกไปลงทุนยังที่อื่น ๆ แล้ว เชื่อว่านักลงทุนจะกลับเข้ามาที่เดิมคงเป็นเรื่องยาก และเชื่อว่าหลาย ๆ บลจ. ที่มีแบงก์แม่ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เสียฐานลูกค้าแบงก์ไปเช่นเดียวกัน

นายอนุสรณ์กล่าวต่อว่า ส่วนกองทุนรวมต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ของบลจ. บีทีนั้น ได้ออกมาถูกจังหวะตรงตามความต้องการของนักลงทุน เพราะการที่นักลงทุนออกไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในประเทศ อีกทั้งยังเป็นการลงทุนที่สามารถชนะเงินเฟ้อที่เกิดขี้นในขณะนี้ได้ด้วย เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยในประเทศยังต่ำอยู่ถ้าเทียบกับเงินเฟ้อ

ล่าสุด บริษัทได้ทำการเปิดขายกองทุนกองทุนเปิดบีที FIF ออสซี่ กีวี ตราสารหนี้ 6/3 (BT FIF Aussie Kiwi Fixed Income 6/3) ไปเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม 2551 ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ที่ลงทุนในต่างประเทศของประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนซ์ อายุโครงการ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 6% ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่ากองทุนดังกล่าวจะไม่มีการทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่บริษัทจะมีผู้จัดการกองทุนที่เข้ามาดูแลเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ ซึ่งจะจับจังหวะให้อัตราแลกเปลี่ยนเกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่จะส่งผลดีต่อผลตอบแทนของกองทุนและจะทำการทยอยปิดความเสี่ยงด้วย

“กองทุนดังกล่าวออกมาเพื่อช่วยให้นักลงทุนไทยชนะเงินเฟ้อได้ ซึ่งถ้าจะชนะเงินเฟ้อได้ก็ควรจะออกไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งการลงทุนนั้นต้องเลือกสถาบันการเงิน สกุลเงินที่จะลงทุน และต้องมีคนที่มีดูแลเรื่องความเสี่ยงด้วย" นายอนุสรณ์ กล่าว

นายอนุสรณ์ กล่าวต่ออีกว่า ส่วนของการลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายการลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้นั้นยังถือว่าให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่แก่นักลงทุน อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน ECP ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่นักลงทุนสามารถเลือกเข้าไปลงทุนได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ในส่วนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่นักลงทุน ซึ่งล่าสุดได้เตรียมออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่จะเข้าไปลงทุนในศูนย์กระจายสินค้าย่านลาดพร้าวซอย 101 ที่มีมูลค่าโครงการประมาณ 600 - 620 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณการ 6 – 7 % ต่อปี อีกทั้งกองทุนดังกล่าวยังทำประกันการันตีโดยธนาคารพาณิชย์ 6 ปี นอกจากนี้ กองทุนยังเป็นการลงทุนแบบมีกรรมสิทธิ์ด้วย ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ในเร็ว ๆ นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น