"กองทุนเปิดบีที FIF ออสซี่ กีวี ตราสารหนี้ 6/3 เป็นกองทุนแรกของบริษัทที่จะมีการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนซ์ ซึ่งจะเป็นการกระจายความเสี่ยงให้แก่นักลงทุน ซึ่งบริษัทได้คาดการณ์ผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 6%"
มองไปรอบๆ ตัวตอนนี้ ราคาข้าวของอุปโภค - บริโภค ต่างพาเหรดปรับตัวขึ้นกันอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันการลงทุนในประเทศไทยกลับไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในระดับที่เท่าเทียมกับอัตราเงินเฟ้อ ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่การลงทุนในต่างแดนจึงเป็นอีกหนึ่งหนทางการลงทุนที่หลายฝ่ายปักธงและมุ่งหวังที่จะออกไปผจญภัยกัน โดยเฉพาะการลงทุนผ่านกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (FIF)
อย่างไรก็ตามสำหรับนักลงทุนที่ยังไม่กล้าเสี่ยงมากนัก ก้าวแรกที่จะออกไปคงจะหนีไม่พ้นการลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งในปัจจุบันการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ต่างๆได้เข็นกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ออกมาขาย เพื่อจับลูกค้าที่ไม่ชอบความเสี่ยง แต่อยากได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในประเทศกันยกใหญ่ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งตอนนี้ผลตอบแทนที่เคยจะได้รับจากพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้เริ่มมีความผันผวนจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
ดังนั้นวันนี้ “MutualFund IPO” จึงอยากขอแนะนำอีกหนึ่งกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่ผสมผสานข้อดีของ 2 ตราสารหนี้ในสุกลเงินต่างกัน นั้นคือ "กองทุนเปิดบีที FIF ออสซี่ กีวี ตราสารหนี้ 6/3 (BT FIF Aussie Kiwi Fixed Income 6/3)" ที่จะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม 2551 ซึ่งกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนใหม่ภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.บีที ที่มีประสบการณ์ในการบริหารกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรของรัฐบาลออสเตรเลีย และกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรของรัฐบาลนิวซีแลนด์มาแล้ว
สำหรับกองทุนเปิดบีที FIF ออสซี่ กีวี ตราสารหนี้ 6/3 เป็นกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ที่ลงทุนในต่างประเทศ ที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน อายุโครงการ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท มีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งหนี้ต่างประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (investment grade) โดยสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเป็นสินทรัพย์ของกองทุนมีมูลค่ารวมกันไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม
โดยอาจมีบางขณะที่กองทุนไม่สามารถดำรงสัดส่วนการลงทุนให้เป็นไปตามที่กำหนดได้ เช่นในระหว่างรอการลงทุน โดยยกเว้นในช่วงระยะเวลา 10 วันนับตั้งแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม และในช่วงระยะเวลา 10 วันก่อนวันครบกำหนดอายุกองทุน หรือในวันครบกำหนดอายุกองทุน ซึ่งกองทุนอาจจำเป็นต้องชะลอการลงทุนในต่างประเทศเป็นการชั่วคราว
ขณะเดียวกันส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในตราสารที่มีลักษณะคล้ายเงินฝาก , เงินฝาก , ตราสารหนี้ในประเทศที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรองเงินไว้สำหรับการดำเนินการ , รอการลงทุน หรือรักษาสภาพคล่องของกองทุน ทั้งนี้กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่งหน้า (Derivativer) ที่มีตัวแปรเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยง (hedging) ตามจังหวะที่เห็นว่าเหมาะสม แต่จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารหนี้ที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note)
อย่างไรก็ตามในกรณีที่ภายหลังจากการเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกแล้ว ปรากฎว่าไม่มีตราสารที่สามารถลงทุนได้อย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหน่วยลงทุน บริษัทจัดการขอสงวนสิทธิที่จะเลิกโครงการจัดการและดำเนินตามวิธีกาที่กำหนดไว้ในโครงการจัดการ
อนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.บีที กล่าวแนะนำกองทุนดังกล่าวว่า กองทุนเปิดบีที FIF ออสซี่ กีวี ตราสารหนี้ 6/3 เป็นกองทุนแรกของบริษัทที่จะมีการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนซ์ ซึ่งจะเป็นการกระจายความเสี่ยงให้แก่นักลงทุน หลังจากที่ผ่านมาบริษัทได้มีการออกกองทุนซึ่งมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศนิวซีแลนซ์ และกองทุนซึ่งมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศออสเตรเลียมาแล้ว โดยปรากฎว่าสามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับที่น่าพอใจ ทำให้มีนักลงทุนต้องการให้เราออกกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรทั้ง 2 ซึ่งสำหรับ กองทุนเปิดบีที FIF ออสซี่ กีวี ตราสารหนี้ 6/3 บริษัทได้คาดการณ์ผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 6%
"ยอมรับว่ากองทุนนี้จะไม่มีการทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (เฮดจ์จิ้ง) แต่เราจะมีผู้จัดการกองทุนที่เข้ามาดูแลเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ ซึ่งจะจับจังหวะให้อัตราแลกเปลี่ยนเกิดการเปลี่ยงแปลงในลักษณะที่จะส่งผลดีต่อผลตอบแทนของกองทุนและทยอยปิดความเสี่ยง"
ส่วนความเชื่อมั่นต่อฟื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศที่จะเข้าไปลงทุนนั้น กรรมการผู้จัดการ บลจ.บีที ให้ความมั่นใจว่า ส่วนตัวเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศนิวซีแลนด์ในระยะสั้นอาจจะมีการชะลอตัวลงเล็กน้อย เนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจภายใน แต่ในส่วนของเศรษฐกิจของประเทศออสเตรเลียนั้นน่าจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
"แนวคิดของเราคือ ช่วยให้นักลงทุนไทยชนะเงินเฟ้อ เซึ่งถ้าจะชนะเงินเฟ้อก็ควรจะออกไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งการลงทุนต้องเลือกสถาบันการเงิน สกุลเงินที่จะลงทุน และต้องมีคนที่มีดูแลเรื่องความเสี่ยงด้วย"นายอนุสรณ์ กล่าว