บลจ.กรุงไทย ส่ง 2 กองทุนตราสารหนี้ลุยตลาด เสนอทางเลือกลงทุนทั้งในประเทศระยะสั้นๆ 3 เดือน ให้ผลตอบแทน 3.20% ต่อปีก่อนหักค่าใช้จ่าย ส่วนกองต่างประเทศ ยังคงเน้นพันธบัตรเกาหลีใต้ ลงทุนยาว 1 ปี ให้ยิลด์ 4.55 -4.75% ต่อปีก่อนหักค่าใช้จ่ายเช่นกัน ส่วนกอง "KTGT1" กระแสตอบรับดีต่อเนื่อง ชูรีเทิร์นย้อนหลัง 30 วันฟันกำไรไปแล้ว 5.49%
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้บริษัทจะเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุนประเภทตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ จำนวน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนรวมกรุงไทยตราสารการเงินคุ้มครองเงินต้น 40 ( KT3M40) และกองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ต่างประเทศ1 ปี8 ( KTFIF1Y8)
สำหรับกองทุน KT3M 40 มีอายุโครงการ 3 เดือน มูลค่า 2,000 ล้านบาท จะเปิดจำหน่ายระหว่างวันที่ 17-23 มิถุนายน 2551 โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารที่มุ่งจะก่อให้เกิดความคุ้มครองเงินต้น ได้แก่ ตราสารภาครัฐไทย ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือ บัตรเงินฝากที่บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบัตรเงินฝาก ที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออก หรือทรัพย์สินอื่นที่มีความเสี่ยงต่ำหรือมีความเสี่ยงเทียบเคียงได้กับตราสารภาครัฐไทย ทั้งนี้ ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารข้างต้นเพื่อเป็นทรัพย์สินของกองทุนรวมมีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 98 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ และต้องการลงทุนในกองทุนที่คุ้มครองเงินต้น โดยผลตอบแทนของตราสารอยู่ที่ประมาณ 3.20%ต่อปี ซึ่งยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน จึงเป็นกองทุนที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารประจำ3 เดือนอยู่ที่ 2.00% ต่อปี ก่อนหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 15%
นอกจากนี้ ในระหว่างวันที่ 18-24 มิถุนายน จะเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุน KTFIF1Y8 อายุโครงการ 1 ปี มูลค่า 1,600 ล้านบาท เป็นกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารภาครัฐต่างประเทศ หรือตราสารหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศเป็นหลัก เช่น พันธบัตรภาครัฐประเทศเกาหลีใต้ เป็นต้น ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือจะลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ ทั้งของภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) อยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนจะทำการป้องกัน ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน โดยการลงทุนในพันธบัตรภาครัฐของประเทศเกาหลีใต้ อายุ 1 ปี อยู่ที่ประมาณ 4.55 -4.75% ต่อปี เป็นอัตราที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน ซี่งนับว่าอัตราผลตอบแทนของตราสารได้มีการปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนของตราสารที่กองทุนได้ลงทุนก่อนหน้านี้
นายสมชัยกล่าวถึงกองทุนเปิดกรุงไทยโกลบอล เทรเชอรี่ ฟันด์ 1 ( KTGT1) ที่เปิดขายหน่วยลงทุนไปเมื่อเร็วๆนี้ว่า เป็นกองทุนที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเบื้องต้นกองทุนได้ลงทุนใน Sterling Fund ภายใต้ Global Treasury Funds ที่บริหารกองทุนโดย RBS Asset management (Dublin) Limited
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐอยู่ที่ 33.21 บาท และค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับ Pound Sterling อยู่ที่ 64.84 บาท ทั้งนี้ โดยเฉลี่ยอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทต่อค่าเงินปอนด์ที่กองทุนลงทุน อยู่ที่ประมาณ 63.88 บาทต่อปอนด์ ส่งผลให้กองทุนได้รับส่วนต่างจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 0.96 บาท ต่อ1 ปอนด์สเตอร์ริง หรือประมาณ 1.56% ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุน Global Treasury Funds ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2551 ย้อนหลัง 7 วัน อยู่ที่ 5.44% ต่อปี และย้อนหลัง 30 วัน อยู่ที่ 5.49% ต่อปี ดังนั้น การลงทุนในกองทุนดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนทั้งจากการลงทุนในกองทุน Global Treasury Funds และส่วนต่างจากอัตราแลกเปลี่ยน
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้บริษัทจะเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุนประเภทตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ จำนวน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนรวมกรุงไทยตราสารการเงินคุ้มครองเงินต้น 40 ( KT3M40) และกองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ต่างประเทศ1 ปี8 ( KTFIF1Y8)
สำหรับกองทุน KT3M 40 มีอายุโครงการ 3 เดือน มูลค่า 2,000 ล้านบาท จะเปิดจำหน่ายระหว่างวันที่ 17-23 มิถุนายน 2551 โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารที่มุ่งจะก่อให้เกิดความคุ้มครองเงินต้น ได้แก่ ตราสารภาครัฐไทย ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือ บัตรเงินฝากที่บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบัตรเงินฝาก ที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออก หรือทรัพย์สินอื่นที่มีความเสี่ยงต่ำหรือมีความเสี่ยงเทียบเคียงได้กับตราสารภาครัฐไทย ทั้งนี้ ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารข้างต้นเพื่อเป็นทรัพย์สินของกองทุนรวมมีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 98 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ และต้องการลงทุนในกองทุนที่คุ้มครองเงินต้น โดยผลตอบแทนของตราสารอยู่ที่ประมาณ 3.20%ต่อปี ซึ่งยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน จึงเป็นกองทุนที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารประจำ3 เดือนอยู่ที่ 2.00% ต่อปี ก่อนหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 15%
นอกจากนี้ ในระหว่างวันที่ 18-24 มิถุนายน จะเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุน KTFIF1Y8 อายุโครงการ 1 ปี มูลค่า 1,600 ล้านบาท เป็นกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารภาครัฐต่างประเทศ หรือตราสารหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศเป็นหลัก เช่น พันธบัตรภาครัฐประเทศเกาหลีใต้ เป็นต้น ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือจะลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ ทั้งของภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) อยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนจะทำการป้องกัน ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน โดยการลงทุนในพันธบัตรภาครัฐของประเทศเกาหลีใต้ อายุ 1 ปี อยู่ที่ประมาณ 4.55 -4.75% ต่อปี เป็นอัตราที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน ซี่งนับว่าอัตราผลตอบแทนของตราสารได้มีการปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนของตราสารที่กองทุนได้ลงทุนก่อนหน้านี้
นายสมชัยกล่าวถึงกองทุนเปิดกรุงไทยโกลบอล เทรเชอรี่ ฟันด์ 1 ( KTGT1) ที่เปิดขายหน่วยลงทุนไปเมื่อเร็วๆนี้ว่า เป็นกองทุนที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเบื้องต้นกองทุนได้ลงทุนใน Sterling Fund ภายใต้ Global Treasury Funds ที่บริหารกองทุนโดย RBS Asset management (Dublin) Limited
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐอยู่ที่ 33.21 บาท และค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับ Pound Sterling อยู่ที่ 64.84 บาท ทั้งนี้ โดยเฉลี่ยอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทต่อค่าเงินปอนด์ที่กองทุนลงทุน อยู่ที่ประมาณ 63.88 บาทต่อปอนด์ ส่งผลให้กองทุนได้รับส่วนต่างจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 0.96 บาท ต่อ1 ปอนด์สเตอร์ริง หรือประมาณ 1.56% ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุน Global Treasury Funds ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2551 ย้อนหลัง 7 วัน อยู่ที่ 5.44% ต่อปี และย้อนหลัง 30 วัน อยู่ที่ 5.49% ต่อปี ดังนั้น การลงทุนในกองทุนดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนทั้งจากการลงทุนในกองทุน Global Treasury Funds และส่วนต่างจากอัตราแลกเปลี่ยน