xs
xsm
sm
md
lg

กรุงไทยจับจังหวะเงินปอนด์แข็ง คลอดFIFมันนี่มาร์เกตขายลูกค้าเล่นสั้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.กรุงไทย เพิ่มทางเลือกลงทุนต่างประเทศ คลอด "กรุงไทย โกลบอล เทรเชอรี่ 1" กองทุนมันนี่มาร์เกต มูลค่า 1,500 ล้านบาท ลงทุนตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศ 3 สกุล ทั้ง "Dollar Fund-Sterling Fund-Euro Fund" ผ่านกองทุน Global Treasury Funds ประเดิมช่วงแรกใน Sterling Fund เหตุความผันผวนน้อยและมีโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่า เผยอนาคตสามารถโยกไปลงทุนในสกุลเงินอื่นได้ หากภาวะเศรษฐกิจและค่าเงินเป็นใจ จ่อคิวเอฟไอเอฟเพิ่ม 2 กองทุนเร็วๆนี้


นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 7-20 พฤษภาคมนี้ บริษัทจะเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุนเปิดกรุงไทย โกลบอล เทรเชอรี่ 1 (KTGT1) กองทุนรวมต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท โดยกองทุนดังกล่าวจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยตลาดเงินในต่างประเทศ และมีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ประเภท Money market ของกองทุน Dollar Fund หรือ Sterling Fund หรือ Euro Fund ประเภทกองทุนรวมตลาดเงิน ภายใต้ Global Treasury Funds ที่บริหารจัดการโดย RBS Asset management (Dublin) Limited

ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนในกองทุนใดกองทุนหนี่งไม่ต่ำกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยในเบื้องต้นจะเน้นลงทุนใน Sterling Fund เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มมีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าในระยะสั้น จากการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยอาจจะไม่มีการปรับลดลงอีกโดยล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.25% ต่อปี มาอยู่ที่ 2.00% ต่อปี และคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ส่งผลให้ค่าเงินยูโรเริ่มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปัยจัยดังกล่าวส่งผลให้ทั้งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและค่าเงินยูโรค่อนข้างอ่อนไหวมากกว่า

ดังนั้น ในช่วงนี้กองทุนจึงเน้นการลงทุนในสกุลเงินปอนด์ ซึ่งมีโอกาสให้ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่สูง และคาดว่าจะได้รับผลกระทบไม่มากนักจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินยูโรและดอลลาร์สหรัฐ จึงนับว่าเป็นการลงทุนที่เหมาะสมในช่วงเวลาขณะนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถปรับเปลี่ยนสกุลเงินที่ลงทุนได้ตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยจะพิจารณาลงทุนในสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่สูง พื้นฐานเศรษฐกิจดี และแนวโน้มค่าเงินมีเสถียรภาพ

"ค่าเงินปอนด์มีความผันผวนค่อนข้างน้อย เพราะดอกเบี้ยในประเทศเขายังสูงอยู่ ถึงแม้จะปรับลดลงมาบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงและถือว่าอยู่ตรงกลางระหว่างค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและค่าเงินสกุลยูโร ซึ่งความผันผวนที่น้อยนี้เองทำให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะสั้นๆ มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่่า อย่างไรก็ตาม เราจะพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐและยุโรปประกอบด้วย ซึ่งหากเราเห็นว่าสกุลเงินใดน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ก็จะปรับการลงทุนไปในสกุลเงินนั้นๆ"นายธีรพันธุ์กล่าว

ทั้งนี้ กองทุนทั้ง 3 กองทุน ได้รับ Fund Rate สูงสุด จากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดยให้ที่ระดับ AAAm โดยS&P เป็น Rating สูงสุดที่ให้กับกองทุนรวมชนิด Money Market โดยการประเมินจาก credit quality ,liquidity, management, guidelines ,strategies และ internal controls ของกองทุน ส่วน Moody’s ให้ที่ระดับ AAA / MR1+ เป็น Rating ที่วัดความเสี่ยงในด้าน Credit นับว่าเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงใกล้เคียงกับการซื้อหุ้นก็ที่มี Rating AAA และMR1+ เป็น Rating สูงสุดสำหรับวัดความผันผวนของกองทุน โดยกองทุนที่ได้ Rating MR1+ แสดงถึงว่าNAV มีความผันผวนต่ำมาก ทางด้านFitch ให้ที่ระดับAAA/V1 ซึ่งเป็น Rating ที่แสดงถึง Credit risk ที่ต่ำมีนโยบายการลงทุนที่ Conservative โอกาสที่จะได้รับเงินต้นคืนสูงมาก ส่วนV1+เป็น Rating ที่แสดงถึงความผันผวนที่ต่ำที่สุด

"กองทุนนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะสั้น หรือมีการวางแผนจะส่งบุตรหลานไปเรียนต่อในประเทศแถบยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งการลงทุนในกองทุนนี้ นอกจากจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุน Money Market ในประเทศ แล้วเมื่อลงทุนในกองทุนยังมีโอกาสได้รับ Foreign Exchange Rate ที่ดีกว่าธนาคารพาณิชย์ ทั้งอัตราซื้อและขาย (Bid- offer rate ) นอกจากนี้ กองทุนอาจจะทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยนไว้ในบางช่วง เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน"นายธีรพันธุ์กล่าว

นายธีรพันธุ์กล่าวว่า ตอนนี้กองทุนดังกล่าวยังมีข้อจำกัดอยู่ที่สามารถลงทุนได้เพียงครั้งละ 1 กองทุนเท่านั้น เนื่องจากแต่ละกองทุนมีการคำนวนมูลค่าหน่วยลงทุน (เอ็นเอวี) ที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถลงทุนรวมทั้ง 3 กองทุนได้ แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทก็กำลังอยู่ระหว่างขอแก้ไขโครงการกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเปิดทางให้กองทุนสามารถลงทุนได้ทั้ง 3 กองทุนคือ Dollar Fund, Sterling Fund และ Euro Fund ผ่านกองทุนกองเดียว ซึ่งหากแก้ไขแล้วจะสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นและเพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้มากขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนนี้ บริษัทมีแผนเปิดกองทุนเอฟไอเอฟเพิ่มอีกจำนวน 2 กองทุน โดยกองทุนแรกจะเน้นลงทุนในหุ้น ผ่านดัชนีในต่างประเทศที่มีการลงทุนอยู่ในหุ้นจำนวน 28 ประเทศ และจะมีการปิดความเสี่ยงไม่ให้กองทุนขาดทุนเกิน 10% ส่วนอีก 1 กองทุนจะเป็นกองทุนผสม ที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งในหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) ตราสารหนี้ เป็นต้น โดยกองทุนนี้จะมีความพิเศษตรงที่เป็นกองทุนคุ้มครองเงินต้น และจะกำหนดการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทเอง โดยผ่านคณะกรรมการลงทุนจากผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ ทั้งจากบลจ.กรุงไทย กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกัน ทั้งนี้ เป้าหมายของกองทุนต้องการให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้เกษียณอายุเป็นหลัก
กำลังโหลดความคิดเห็น