xs
xsm
sm
md
lg

บีทีแนะ3ช่องทางลงทุนชนะเงินเฟ้อ เล็งดึงคลังสินค้าตั้งกองอสังหาเป็นทางเลือก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.บีที แนะช่องทางผู้ลงทุนเอาชนะเงินเฟ้อ ชี้ 3 ช่องทาง "หุ้น-ลงทุนต่างประเทศ-อสังหาริมทรัพย์" ตอบโจทย์ได้ แต่ต้องเป็นการลงทุนระยะยาว เผยอยู่ระหว่างยื่นขอ ก.ล.ต. ตั้งพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ ลงทุนคลังสินค้าย่านลาดพร้าว 101 คาดเปิดขายได้ต้นเดือนก.ค.นี้ แย้มให้ยิลด์สูงถึง 7% ล่าสุด เปิดขาย "กองทุนบีที FIF ตราสารหนี้ 12/3" เน้นลงทุนในสกุลเงินออสเตรเลีย ชูผลตอบแทน 6% ต่อปี
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงที่ภาวะอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ถึง 7.6% ซึ่งถ้านักลงทุนจะเข้าลงทุนในช่วงนี้เพื่อให้ชนะเงินเฟ้อ ควรเลือกลงทุนใน 3 ทางเลือก ซึ่งประกอบด้วย การลงทุนในหุ้น การลงทุนในต่างประเทศ และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ การลงทุนทั้ง 3 ทางเลือก ต้องเป็นการลงทุนในระยะยาวจึงจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้

นอกจากนี้ ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยต้องประสบกับปัญหาทางการเมือง ทำให้นักลงทุนหลายรายขายหุ้นทิ้งกันเป็นจำนวนมาก ในส่วนของ บลจ.บีทีเอง ได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนในกองทุนหุ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2551 ด้วยเช่นกัน โดยหันมาถือเงินสดมากถึง 30% และลงทุนในหุ้น 70% ทั้งนี้ หุ้นที่บริษัทถืออยู่นั้นน้อยมากประมาณ 30 -40 ตัวเท่านั้น และจะทำการคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตอีกเพียง 15 ตัวเท่านั้น เพื่อให้มีดูแลได้อย่างทั่วถึง โดยกลุ่มที่บริษัทยังให้ความสนใจลงทุนอยู่ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร กลุ่มธนาคาร และกลุ่มพลังงาน

ล่าสุด บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการยื่นเรื่องกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการพิจารณาจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์อยู่ ซึ่งคาดว่าถ้าได้รับการอนุมัติแล้ว จะสามารถเปิดตัวกองทุนดังกล่าวได้ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2551 นี้ โดยกองทุนดังกล่าว บริษัทจะเข้าไปลงทุนศูนย์กระจายสินค้าย่านลาดพร้าวซอย 101 ที่มีมูลค่าโครงการประมาณ 600 -620 ล้านบาท และสามารถให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนได้ถึง 7% อีกทั้งกองทุนดังกล่าวยังทำประกันการันตีโดยธนาคารพาณิชย์ 6 ปี นอกจากนี้ กองทุนยังเป็นการลงทุนแบบมีกรรมสิทธิ์ด้วย

“พื้นที่ย่านลาดพร้าวจะมีการเพิ่มมูลค่าขึ้นในอนาคตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งศูนย์กระจายสินค้าที่บริษัทเข้าไปลงทุนนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องกินต้องใช้ตลอดเวลา ดังนั้นคลังสิ้นค้าดังกล่าวจะสามารถเพิ่มมูลค่า และผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนได้” นายอนุสรณ์ กล่าว

สำหรับจุดเด่นของโครงการ จะอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองที่ขนส่งสินค้าได้สะดวกสบาย นอกจากนี้ ภายในโครงการยังมีสตูดิโอภาพยนตร์และโฆษณาให้เช่าอีกด้วย ส่วนพื้นที่คลังสินค้านั้น ปัจจุบันมีลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการแล้วกว่า 90% โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่เข้ามาใช้บริการ เช่น เบียร์ช้าง กรีนสปอต รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ อีกหลายบริษัท ทั้งนี้ ภายในโครงการมีจำนวนพื้นที่ 40,000 ตารางเมตร

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ในระหว่างวันที่ 5 -11 มิถุนายน 2551บริษัทเปิดขายกองทุนบีที FIF ตราสารหนี้ 12/3 โดยกองทุนมีมูลค่าโครงการ 2,800 ล้านบาท มีอายุโครงการ 1 ปี ซึ่งกองทุนจะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่เป็นสกุลเงินออสเตรเลีย ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการจัดอันดับที่สามารถลงทุนได้ โดยสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับจากสำนักงาน เพื่อเป็นทรัพย์สินของกองทุนรวม มีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม

ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในตราสารหนี้ที่มีลักษณะคล้ายเงินฝาก , เงินฝาก , ตราสารหนี้ในประเทศที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจเงินไว้สำหรับการดำเนินงานหรือรอการลงทุนหรือเพื่อเป็นการรักษาสภาพคล่องของกองทุน นอกจากนี้กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีตัวแปรเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงเท่านั้น ทั้งนี้กองทุนจะไม่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า กองทุนดังกล่าวสามารถให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนในอัตรา 5-7 – 6% ในสกุลเงินออสเตรเลีย ทั้งนี้กองทุน บีที FIF ตราสารหนี้ 12/3 ถือเป็นกองทุนที่ 3 ของกองทุนเอฟไอเอฟ โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ทำการเปิดขายกองทุน FIF ตราสารหนี้ที่มีนโยบายการลงทุนในสกุลเงินออสเตรเลีย และกองทุนเปิดขายกองทุนFIF ตราสารหนี้ที่มีนโยบายการลงทุนในสกุลเงินนิวซีแลนด์ ซึ่งสองกองทุนที่ผ่านสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
กำลังโหลดความคิดเห็น