“เซฟ-ที-คัท” ซุ่มเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ หวังระดมทุนขยายกิจการ ไลน์สินค้า ตลาดต่างประเทศ มั่นใจตลาดเครื่องตัดไฟอัติโนมัติยังมีโอกาสอีกมาก เหตุคนไทยใช้แค่ 6% เท่านั้นตอนนี้ จากประชากรมากกว่า 60 ล้านคน พร้อมปรับราคา 10% เดือนที่แล้วรับต้นทุนพุ่ง
นายชวาล โสตถิวันวงศ์ ประธานกรรมการ บริษัท เซฟ-ที-คัท (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Mai ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการให้ที่ปรึกษาทางการเงินศึกษารายละเอียดต่างๆ โดยมีจุดประสงค์ที่ต้องการจะขยายกิจการบริษัทฯ รวมทั้งการขยายกำลังผลิตและขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ด้วย รวมไปถึงการขยายตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น
ในปีที่แล้วตลาดรวมผลิตภัณธฑ์เครื่องตัดไฟอัติโนมัติทั้งหมดโดยรวมมีการเติบโต 8% เมื่อเทียบกับปี 2550 ขณะที่บริษัทฯมีส่วนแบ่งเป็นผู้นำตลาดมากกว่า 80% ทิ้งห่างจากคู่แข่งในตลาดอย่างมาก และเมื่อถึงอนาคตของตลาดเครื่องตัดไฟอัติโนมัติแล้วมีโอกาสอีกมา เพราะเมืองไทยมีปริมาณการใช้ขณะนี้แค่ 6% เท่านั้นจากจำนวนประชากรทั้งประเทศ มีกว่า 60 ล้านคน ยังมีตลาดอีกมากที่ยังขยายได้
ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทฯเมื่อปีที่แล้ว มีการเติบโต 8% โดยรายได้มาจาก 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์คือ เครื่องตัดไฟ, ผลิตภัณฑ์ตู้ควบคุมแผงวงจรไฟฟ้า, เซอร์กิตเบรกเกอร์, ผลิตภัณฑ์โคมไฟฉุกเฉินชุดเบ็ดเสร็จ ผลิตภัณฑ์เครื่องส่งสัญญาณกันขโมย และ ผลิตภัณฑ์เครื่องตัดแก๊สอัตโนมัติ และมีแชร์ เครื่องตัดไฟอัติโนมัติ 80% ตั้งเป้าหมายปีนี้แชร์เพิ่มเป็น 82% และเพิ่มเป็น 85%ในอีก 3 ปีจากนี้ และตั้งเป้ามีการเติบโต 20% ภายใน 3 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยอมรับว่า บางกลุ่มผลิตภัณฑ์ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เช่น เครื่องตัดแก๊สอัติโนมัติ ซึ่งบริษัทฯจะทยอยลดการทำตลาดลง แต่ผลิตภัณฑ์หลายตัวก็ไปได้ดีเช่น เมื่อปีที่แล้วได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องตัดไฟ ตู้ควบคุมแผงวงจรไฟฟ้าและเซอร์กิตเบรกเกอร์แบบครบไลน์ เข้าสู่ตลาดตั้งแต่ตลาดบ้านถึงโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
ปัจจุบันบริษัทฯมีกำลังผลิตเครื่องตัดไฟเซฟ-ที-คัท ประมาณ 800 กว่ายูนิตต่อวันเท่านั้นเอง ซึ่งน้อยมาก เมื่อเทียบกับความต้องการของตลาด ทำให้เตรียมที่จะขยายกำลังผลิตเพิ่มที่โรงงานที่ชัยนาท ซึ่งเดิมมีพื้นที่รวม 200 กว่าไร่ และเมื่อเสร็จแล้วจะทำให้บริษัทฯสามารถขยายกำลังผลิต และขยายไลน์เพิ่มได้ด้วย เช่น จะโยกส่วนการผลิตเซอร์กิตเบรกเกอร์ที่บริษัทฯร่วมทุนกับคนจีนผลิตที่ประเทศจีน กลับมาไว้ที่ประเทศไทยแทน แล้วแบ่งตลาดส่งออกกับจีน
สำหรับช่องทางการจำหน่ายในประเทศนั้นมี 3 ช่องทางหลักคือ 1.ค้าส่ง มากกว่า 80% 2.โครงการ ประมาณ 10% 3.ขายตรง ประมาณ 10%
เมื่อการเพิ่มกำลังผลิตแล้วเสร็จ บริษัทฯก็เตรียมที่จะเปิดตลาดส่งออกเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งที่ผ่านมาก็มีบ้างแล้วแต่ยังไม่มากนักเนื่องจากกำลังผลิตยังน้อยอยู่ เช่น ส่งไปจำหน่ายที่เวียดนาม เป็นต้น ส่วนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นได้ทำไปแล้วในหลายประเทศ แต่ที่ญี่ปุ่นยังไม่ได้จดเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงมาก
นายชวาลกล่าวด้วยว่า ด้วยผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่างๆ ทั้งในเรื่องของปัญหาราคาน้ำมัน ปัญหาราคาวัตถุดิบ ที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯต้องปรับกลยุทธ์ ในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง แต่ยอมรับว่า ได้ปรับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขึ้นเฉลี่ย 10% เมื่อเดือนที่แล้ว เพราะต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ทางบริษัทฯได้ปรับวิธีการขนส่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยนำระบบลอจิสติกส์มาใช้ในการบริหารคลังสินค้าและการขนส่ง เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง ส่วนการแข่งขันกับสินค้าจากคู่แข่งต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนที่ปัจจุบันส่งสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็คทรอนิกส์ เข้ามาขายในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก พบว่าไม่มีผลกระทบต่อยอดจำหน่ายสินค้าของเซฟ-ที-คัท เพราะบริษัทฯเน้นคุณภาพไม่เน้นเรื่องราคา
นายชวาล โสตถิวันวงศ์ ประธานกรรมการ บริษัท เซฟ-ที-คัท (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Mai ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการให้ที่ปรึกษาทางการเงินศึกษารายละเอียดต่างๆ โดยมีจุดประสงค์ที่ต้องการจะขยายกิจการบริษัทฯ รวมทั้งการขยายกำลังผลิตและขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ด้วย รวมไปถึงการขยายตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น
ในปีที่แล้วตลาดรวมผลิตภัณธฑ์เครื่องตัดไฟอัติโนมัติทั้งหมดโดยรวมมีการเติบโต 8% เมื่อเทียบกับปี 2550 ขณะที่บริษัทฯมีส่วนแบ่งเป็นผู้นำตลาดมากกว่า 80% ทิ้งห่างจากคู่แข่งในตลาดอย่างมาก และเมื่อถึงอนาคตของตลาดเครื่องตัดไฟอัติโนมัติแล้วมีโอกาสอีกมา เพราะเมืองไทยมีปริมาณการใช้ขณะนี้แค่ 6% เท่านั้นจากจำนวนประชากรทั้งประเทศ มีกว่า 60 ล้านคน ยังมีตลาดอีกมากที่ยังขยายได้
ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทฯเมื่อปีที่แล้ว มีการเติบโต 8% โดยรายได้มาจาก 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์คือ เครื่องตัดไฟ, ผลิตภัณฑ์ตู้ควบคุมแผงวงจรไฟฟ้า, เซอร์กิตเบรกเกอร์, ผลิตภัณฑ์โคมไฟฉุกเฉินชุดเบ็ดเสร็จ ผลิตภัณฑ์เครื่องส่งสัญญาณกันขโมย และ ผลิตภัณฑ์เครื่องตัดแก๊สอัตโนมัติ และมีแชร์ เครื่องตัดไฟอัติโนมัติ 80% ตั้งเป้าหมายปีนี้แชร์เพิ่มเป็น 82% และเพิ่มเป็น 85%ในอีก 3 ปีจากนี้ และตั้งเป้ามีการเติบโต 20% ภายใน 3 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยอมรับว่า บางกลุ่มผลิตภัณฑ์ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เช่น เครื่องตัดแก๊สอัติโนมัติ ซึ่งบริษัทฯจะทยอยลดการทำตลาดลง แต่ผลิตภัณฑ์หลายตัวก็ไปได้ดีเช่น เมื่อปีที่แล้วได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องตัดไฟ ตู้ควบคุมแผงวงจรไฟฟ้าและเซอร์กิตเบรกเกอร์แบบครบไลน์ เข้าสู่ตลาดตั้งแต่ตลาดบ้านถึงโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
ปัจจุบันบริษัทฯมีกำลังผลิตเครื่องตัดไฟเซฟ-ที-คัท ประมาณ 800 กว่ายูนิตต่อวันเท่านั้นเอง ซึ่งน้อยมาก เมื่อเทียบกับความต้องการของตลาด ทำให้เตรียมที่จะขยายกำลังผลิตเพิ่มที่โรงงานที่ชัยนาท ซึ่งเดิมมีพื้นที่รวม 200 กว่าไร่ และเมื่อเสร็จแล้วจะทำให้บริษัทฯสามารถขยายกำลังผลิต และขยายไลน์เพิ่มได้ด้วย เช่น จะโยกส่วนการผลิตเซอร์กิตเบรกเกอร์ที่บริษัทฯร่วมทุนกับคนจีนผลิตที่ประเทศจีน กลับมาไว้ที่ประเทศไทยแทน แล้วแบ่งตลาดส่งออกกับจีน
สำหรับช่องทางการจำหน่ายในประเทศนั้นมี 3 ช่องทางหลักคือ 1.ค้าส่ง มากกว่า 80% 2.โครงการ ประมาณ 10% 3.ขายตรง ประมาณ 10%
เมื่อการเพิ่มกำลังผลิตแล้วเสร็จ บริษัทฯก็เตรียมที่จะเปิดตลาดส่งออกเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งที่ผ่านมาก็มีบ้างแล้วแต่ยังไม่มากนักเนื่องจากกำลังผลิตยังน้อยอยู่ เช่น ส่งไปจำหน่ายที่เวียดนาม เป็นต้น ส่วนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นได้ทำไปแล้วในหลายประเทศ แต่ที่ญี่ปุ่นยังไม่ได้จดเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงมาก
นายชวาลกล่าวด้วยว่า ด้วยผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่างๆ ทั้งในเรื่องของปัญหาราคาน้ำมัน ปัญหาราคาวัตถุดิบ ที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯต้องปรับกลยุทธ์ ในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง แต่ยอมรับว่า ได้ปรับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขึ้นเฉลี่ย 10% เมื่อเดือนที่แล้ว เพราะต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ทางบริษัทฯได้ปรับวิธีการขนส่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยนำระบบลอจิสติกส์มาใช้ในการบริหารคลังสินค้าและการขนส่ง เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง ส่วนการแข่งขันกับสินค้าจากคู่แข่งต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนที่ปัจจุบันส่งสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็คทรอนิกส์ เข้ามาขายในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก พบว่าไม่มีผลกระทบต่อยอดจำหน่ายสินค้าของเซฟ-ที-คัท เพราะบริษัทฯเน้นคุณภาพไม่เน้นเรื่องราคา