"ไอเอ็นจี"เดินหน้าขยายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล1 เตรียมเสนอผู้ถือหน่วยเพิ่มทุนอีก 365 ล้านบาท เป็น 1,265 ล้านบาท ด้วยการหน่วยเพิ่มทุน แก่ผู้ถือหน่วยรายเดิมอัตรา 1หน่วยเก่าต่อ 0.41 หน่วยใหม่ หวังนำเงินมาซื้อโรงงานเข้ามาเป็นสินทรัพย์เพิ่มเติม ขณะที่ TFUND คาดรู้ผลสรุปบลจ.ที่จะได้เป็นผู้บริหารกองทุนในวันที่ 16 มิ.ย.นี้
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล1 (TIF1) เปิดเผยว่า บริษัทจะทำการขอมติผู้ถือหน่วยลงทุน เพื่อพิจารณาเรื่องการเพิ่มจำนวนเงินทุนของกองทุนรวมอีกจำนวนไม่เกิน 365 ล้านบาท จากมูลค่าเงินทุนของกองทุนรวมเดิมจำนวน 900 ล้านบาท เป็นเงินทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 1,265 ล้านบาท ด้วยการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมจำนวนไม่เกิน 36.50 ล้านหน่วย มูลค่าหน่วยละ 10 บาท
ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงงานอุตสาหกรรมมาตรฐาน และ/หรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในโครงการ ซึ่งสินทรัพย์ที่กองทุนจะเข้าไปลงทุนเพิ่มเติม ประกอบด้วยการซื้อที่ดินและอาคารโรงงาน จำนวน 2 โรง ซึ่งตั้งอยู่ที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และการรับโอนสิทธิการเช่าที่ดินและซื้ออาคารโรงงาน จำนวน 18 โรง ซึ่งตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นสินทรัพย์ของบริษัทไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิล อินดัสเตรียล เซอร์วิสเซส จำกัด คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 363 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทจัดการสามารถระดมเงินทุนได้เพียงพอที่จะซื้อหรือรับโอนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมทั้งหมด แต่ไม่สามารถซื้อหรือรับโอนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์บางส่วนเนื่องจากเหตุสุดวิสัยหรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ต่ออสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว และบริษัทจัดการเห็นว่าเหตุดังกล่าวจะมีผลกระทบในทางลบต่อกองทุนรวม หรือกรณีเงินทุนที่บริษัทจัดการระดมได้ไม่เพียงพอต่อการซื้อหรือรับโอนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมทั้งหมดแล้ว บริษัทจัดการขอสงวนสิทธิที่จะเลือกซื้อหรือรับโอนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์บางชิ้นตามที่บริษัทจัดการเห็นสมควร
"การเพิ่มทุนครั้งนี้เพื่อให้กองทุนมีทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้กองทุนสามารถจัดหาผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวได้เพิ่มมากขึ้น และเป็นการกระจายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนั้นการที่กองทุนรวมมีจำนวนหน่วยลงทุนเพิ่มมากขึ้นจะทำให้หน่วยลงทุนมีสภาพคล่องมากขึ้นสำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" นายมาริษกล่าว
สำหรับการจัดสรรหน่วยลงทุนที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติมจำนวนไม่เกิน 36.50 ล้านหน่วยตรั้งนี้ นายมาริษกล่าวว่า บริษัทจัดการจะเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมในสัดส่วน 1 หน่วยลงทุนเดิม ต่อไม่เกิน 0.41 หน่วยลงทุนใหม่ ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมซึ่งมีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน (Right Offering) ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมสามารถจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่เกินกว่าสิทธิของตนได้
ขณะเดียวกันหากมีหน่วยลงทุนที่เหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมตามสิทธิ (Right Offering) บริษัทจัดการจะนำหน่วยลงทุนที่เหลือมาจัดสรรให้แก่ผู้ถือหน่วยรายอื่นที่มีความประสงค์จะจองซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวเกินสิทธิของตน และหากยังมีหน่วยลงทุนเหลือจากการจัดสรรในครั้งนี้อีก บริษัทจัดการจะพิจารณาเสนอขายหน่วยลงทุนดังกล่าวให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ที่เป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันหรือผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงซึ่งไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวโยงกันตามประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้บริษัทจัดการกำหนดปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนของกองทุนรวม เพื่อกำหนดสิทธิในการลงมติของผู้ถือหน่วยลงทุนครั้งที่ 1/2551 ในวันที่ 10 มิถุนายน 2551 ตั้งแต่เวลา 12.00 น. และกำหนดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนลงมติกลับมาภายในวันที่ 27 มิถุนายน 2551และบริษัทจัดการจะรวบรวมผลของมติเวียนและแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2551
ศึกชิงผจก.TFUNDรู้ผล 16 มิ.ย.
ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวว่า ความคืบหน้าของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) ว่าเรื่องของการลงมติเปลี่ยนแปลงตัวผู้จัดการกองทุนจาก บลจ.ไอเอ็นจี มาเป็น บลจ.บัวหลวง นั้นน่าได้ผลสรุปการลงคะแนนเสียงของผู้ถือหน่วยลงทุนภายในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ อย่างไรก็ตามแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการกองทุนเป็นรายใหม่ แต่ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหน่วยลงทุน เพราะผลตอบแทนการลงทุนก็คงเป็นไปตามปกติ และนโยบายการบริหารกองทุนก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งผู้ถือหน่วยลงทุนก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่ม หากมีการเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนใหม่ เนื่องจากบลจ.บัวหลวงยินดีที่จะเป็นผู้จ่ายค่าชดเชยทั้งหมด
ปัจจุบัน TFUND ยังคงมีผลประกอบการที่มีเสถียรภาพ และมีการเพิ่มทุนขยายขนาดของกองทุนเพิ่มขึ้นทุกปีประมาณปีละ 2,000 ล้านบาท โดยปีนี้คาดว่าจะเพิ่มทุนอีก 2,000 ล้านบาทในช่วงปลายปี จากปัจจุบันที่มีขนาดกองทุนอยู่ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท
"เรามีแผนที่จะเพิ่มทุนทุกปี ซึ่งจะทำให้ขนาดกองทุนใหญ่ขึ้น และ ไม่ได้กำหนดขนาดของกองทุน ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับดีมานต์และซัพพลายในตลาดฯ เพราะไทคอนก็ทำโรงงานให้เช่า ปัจจุบันก็มีพวกคลังสินค้า ส่วนที่เราจะพัฒนาขึ้นมา เราก็ดูว่าเรามีความจำเป็นจะต้องใช้เงินเพื่อขยายต่อ แล้วเราก็เอา Asset เก่ามาขายกองทุน" แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับผลตอบแทนนั้น ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล ซึ่งจ่ายประมาณปีละ 0.80 บาท/หน่วยลงทุน แบ่งจ่ายทุกไตรมาส ซึ่งนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน TFUND มาได้มีการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และในปีที่ผ่านมากองทุนได้จ่ายผลตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนประมาณ 97% ของกำไรสุทธิ
โดย ณ วันที่ 30 เมษายน "กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน"มีทรัพย์สิน คือ ที่ดินและอาคารโรงงานจำนวน 131 โรง ตั้งอยู่ใน6 เขตพื้นที่ประกอบไปด้วย อมตะซิตี้ , อมตะนคร , บางปะอิน , บางปู ,ไฮเทค และนวนคร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6,075.67 ล้านบาท
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล1 (TIF1) เปิดเผยว่า บริษัทจะทำการขอมติผู้ถือหน่วยลงทุน เพื่อพิจารณาเรื่องการเพิ่มจำนวนเงินทุนของกองทุนรวมอีกจำนวนไม่เกิน 365 ล้านบาท จากมูลค่าเงินทุนของกองทุนรวมเดิมจำนวน 900 ล้านบาท เป็นเงินทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 1,265 ล้านบาท ด้วยการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมจำนวนไม่เกิน 36.50 ล้านหน่วย มูลค่าหน่วยละ 10 บาท
ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงงานอุตสาหกรรมมาตรฐาน และ/หรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในโครงการ ซึ่งสินทรัพย์ที่กองทุนจะเข้าไปลงทุนเพิ่มเติม ประกอบด้วยการซื้อที่ดินและอาคารโรงงาน จำนวน 2 โรง ซึ่งตั้งอยู่ที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และการรับโอนสิทธิการเช่าที่ดินและซื้ออาคารโรงงาน จำนวน 18 โรง ซึ่งตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นสินทรัพย์ของบริษัทไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิล อินดัสเตรียล เซอร์วิสเซส จำกัด คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 363 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทจัดการสามารถระดมเงินทุนได้เพียงพอที่จะซื้อหรือรับโอนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมทั้งหมด แต่ไม่สามารถซื้อหรือรับโอนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์บางส่วนเนื่องจากเหตุสุดวิสัยหรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ต่ออสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว และบริษัทจัดการเห็นว่าเหตุดังกล่าวจะมีผลกระทบในทางลบต่อกองทุนรวม หรือกรณีเงินทุนที่บริษัทจัดการระดมได้ไม่เพียงพอต่อการซื้อหรือรับโอนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมทั้งหมดแล้ว บริษัทจัดการขอสงวนสิทธิที่จะเลือกซื้อหรือรับโอนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์บางชิ้นตามที่บริษัทจัดการเห็นสมควร
"การเพิ่มทุนครั้งนี้เพื่อให้กองทุนมีทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้กองทุนสามารถจัดหาผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวได้เพิ่มมากขึ้น และเป็นการกระจายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนั้นการที่กองทุนรวมมีจำนวนหน่วยลงทุนเพิ่มมากขึ้นจะทำให้หน่วยลงทุนมีสภาพคล่องมากขึ้นสำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" นายมาริษกล่าว
สำหรับการจัดสรรหน่วยลงทุนที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติมจำนวนไม่เกิน 36.50 ล้านหน่วยตรั้งนี้ นายมาริษกล่าวว่า บริษัทจัดการจะเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมในสัดส่วน 1 หน่วยลงทุนเดิม ต่อไม่เกิน 0.41 หน่วยลงทุนใหม่ ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมซึ่งมีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน (Right Offering) ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมสามารถจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่เกินกว่าสิทธิของตนได้
ขณะเดียวกันหากมีหน่วยลงทุนที่เหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมตามสิทธิ (Right Offering) บริษัทจัดการจะนำหน่วยลงทุนที่เหลือมาจัดสรรให้แก่ผู้ถือหน่วยรายอื่นที่มีความประสงค์จะจองซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวเกินสิทธิของตน และหากยังมีหน่วยลงทุนเหลือจากการจัดสรรในครั้งนี้อีก บริษัทจัดการจะพิจารณาเสนอขายหน่วยลงทุนดังกล่าวให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ที่เป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันหรือผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงซึ่งไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวโยงกันตามประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้บริษัทจัดการกำหนดปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนของกองทุนรวม เพื่อกำหนดสิทธิในการลงมติของผู้ถือหน่วยลงทุนครั้งที่ 1/2551 ในวันที่ 10 มิถุนายน 2551 ตั้งแต่เวลา 12.00 น. และกำหนดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนลงมติกลับมาภายในวันที่ 27 มิถุนายน 2551และบริษัทจัดการจะรวบรวมผลของมติเวียนและแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2551
ศึกชิงผจก.TFUNDรู้ผล 16 มิ.ย.
ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวว่า ความคืบหน้าของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) ว่าเรื่องของการลงมติเปลี่ยนแปลงตัวผู้จัดการกองทุนจาก บลจ.ไอเอ็นจี มาเป็น บลจ.บัวหลวง นั้นน่าได้ผลสรุปการลงคะแนนเสียงของผู้ถือหน่วยลงทุนภายในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ อย่างไรก็ตามแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการกองทุนเป็นรายใหม่ แต่ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหน่วยลงทุน เพราะผลตอบแทนการลงทุนก็คงเป็นไปตามปกติ และนโยบายการบริหารกองทุนก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งผู้ถือหน่วยลงทุนก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่ม หากมีการเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนใหม่ เนื่องจากบลจ.บัวหลวงยินดีที่จะเป็นผู้จ่ายค่าชดเชยทั้งหมด
ปัจจุบัน TFUND ยังคงมีผลประกอบการที่มีเสถียรภาพ และมีการเพิ่มทุนขยายขนาดของกองทุนเพิ่มขึ้นทุกปีประมาณปีละ 2,000 ล้านบาท โดยปีนี้คาดว่าจะเพิ่มทุนอีก 2,000 ล้านบาทในช่วงปลายปี จากปัจจุบันที่มีขนาดกองทุนอยู่ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท
"เรามีแผนที่จะเพิ่มทุนทุกปี ซึ่งจะทำให้ขนาดกองทุนใหญ่ขึ้น และ ไม่ได้กำหนดขนาดของกองทุน ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับดีมานต์และซัพพลายในตลาดฯ เพราะไทคอนก็ทำโรงงานให้เช่า ปัจจุบันก็มีพวกคลังสินค้า ส่วนที่เราจะพัฒนาขึ้นมา เราก็ดูว่าเรามีความจำเป็นจะต้องใช้เงินเพื่อขยายต่อ แล้วเราก็เอา Asset เก่ามาขายกองทุน" แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับผลตอบแทนนั้น ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล ซึ่งจ่ายประมาณปีละ 0.80 บาท/หน่วยลงทุน แบ่งจ่ายทุกไตรมาส ซึ่งนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน TFUND มาได้มีการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และในปีที่ผ่านมากองทุนได้จ่ายผลตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนประมาณ 97% ของกำไรสุทธิ
โดย ณ วันที่ 30 เมษายน "กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน"มีทรัพย์สิน คือ ที่ดินและอาคารโรงงานจำนวน 131 โรง ตั้งอยู่ใน6 เขตพื้นที่ประกอบไปด้วย อมตะซิตี้ , อมตะนคร , บางปะอิน , บางปู ,ไฮเทค และนวนคร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6,075.67 ล้านบาท