xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.กสิกรไทยเปิดขาย3FIFใหม่ ลุยหุ้นอาหรับ-สินค้าเกษตรล่วงหน้า-ทองคำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ. กสิกรไทย ชี้ตลาดไทยยังผันผวน ชวนผู้ลงทุนกระจายความเสี่ยงไปต่างประเทศ เปิดตัว FIF ใหม่ 3 กองทุน ชู 3 จุดเด่น ลงทุนหุ้นตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ สินค้าเกษตรล่วงหน้า และทองคำแท่ง เพิ่มความแตกต่างทางการลงทุนเพิ่มรับผลตอบแทนที่ดีกว่า ระบุการลงทุนในตะวันออกกลางจะให้ผลตอบแทนที่ดี เหตุราคาน้ำมันแพงทำเศรษฐกิจของประเทศผู้ค้าน้ำมันขนายตัวสูงขึ้น
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) 3 กองทุน ตลอดเดือนมิถุนายนต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกรกฎาคม โดยเน้นให้ทางเลือกในการลงทุนต่างประเทศที่หลากหลายแก่นักลงทุนเพิ่มขึ้น
สำหรับกองทุน FIF กองทุนแรกที่จะเสนอขาย คือ “กองทุนเปิดเค มีน่า หุ้นทุน (K-MENA)” ซึ่งจะเปิดขายครั้งแรกในวันที่ 4-12 มิถุนายน 2551ขณะที่ “กองทุนเปิดเค อะกริคัลเจอร์ (K-AGRI)” เปิดขายครั้งแรกวันที่ 17-25 มิถุนายน 2551 และ “กองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD)” เปิดขายครั้งแรกภายในเดือนกรกฎาคม 2551 ซึ่งขณะนี้ กองทุนดังกล่าวอยู่ระหว่างการขออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)
ทั้งนี้ กองทุนเปิด K-MENA เป็นกองทุนแรกในประเทศไทยที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนประเภทตราสารแห่งทุนที่มีนโยบายลงทุนในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือและภูมิภาคใกล้เคียง ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเนื่องจากได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับมี P/E Ratio ไม่สูงมากอยู่ที่ประมาณ 10-15 เท่า แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีอัตราการเติบโตของกำไรสูงถึง 20-30% ต่อปี อีกทั้งยังมีบริษัทขนาดใหญ่ที่รอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีกกว่า 2,000 บริษัท ทำให้การลงทุนในตลาดภูมิภาคนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง และมีแนวโน้มจะเติบโตไปได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า
“โดยกองทุนเปิด K-MENA จะระดมทุนในประเทศไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศทั้งหมด 7 กองทุน โดยมีธนาคารอีเอฟจีเป็นที่ปรึกษาการลงทุน ซึ่งนักลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาทเท่านั้น และจะเปิดให้ซื้อได้ทุกวันอีกครั้งในเดือนก.ค.2551 เป็นต้นไป”
นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า การลงทุนในกองทุนนี้นอกจากจะได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นแล้ว การลงทุนด้านสาถารณูปโภค และการพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจและการบริโภคของประชากร มีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้การลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการขยายตัวนี้ ซึ่งถึงแม้ราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลงต่ำกว่าในปัจจุบัน การลงทุนด้านสาถารณูปโภคเองน่าจะดำเนินต่อไปได้ เนื่องจากสมมุติฐานด้านราคาน้ำมันก่อนการวางแผนลงทุนของรัฐบาลในประเทศแถบตะวันออกกลางจะอยู่ที่ 50 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลล์ และเป็นไปได้ยากที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวลงต่ำกว่านั้น
ส่วนความกังวลเรื่องปัญหาสงคราม หรือการก่อการร้ายที่จะส่งผลกระทบให้ความลงทุนมีความเสี่ยงนั้น จากสถาการณ์ในปัจจุบันมักจะมีผลกระทบแค่ในประเทศที่เกิดเหตุเท่านั้น ซึ่งจากสถิติแล้วผลกระทบดังกล่าวจะกลับฟื้นมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว อย่างไรก็ตามการลงทุนในกองทุนนี้เองยังหลีกเลี่ยงการลงทุนในประเทศที่มีความเสี่ยงมากอย่าง อีรัก และอีหร่าานด้วน แต่หากมองเรื่องของราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นแล้ว เชื่อว่าประเทศเหล่านี้เองไม่อยากให้มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นเช่นกัน โดยขณะนี้อีรักเองมีความพยายามปรับตัวในเรื่องการส่งออกน้ำมัน และปรับปรุงระบบต่างๆ เพื่อให้มีการส่งออกได้มากขึ้น หลังจากที่ก่อนหนัานี้ต้องเผชิญกับปัญหาสงคราม
"จากนี้ต่อไปเรื่องความรุนแรงจะเห็นน้อยลง และหากมองราคาน้ำมันที่ 120 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลล์แล้ว ตอนนี้แต่ละประเทศจะมุ่งเรื่องการส่งออกน้ำมันมากกว่า อีรักเองยังหันมาดูแลในเรื่องของท่อและระบบส่งน้ำมัน หลังจากต้องจดจ่อกับเรื่องของสงครามมานาน อีกทั้งมาตรการป้องกันต่างที่ได้สัมผัสมาดูจะเข้มงวดเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรการลงทุนของกองทุนนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนแบบแอททีฟได้ โดยจะโยกเงินไปลงทุนในแอฟริกาเหนือได้อีกด้วย"นางวิวรรณกล่าว
ขณะที่ กองทุนเปิด K-AGRI จะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน DB Platinum IV Agriculture USD Fund ซึ่งมีนโยบายลงทุนในสินค้าเกษตรล่วงหน้า (สัญญาฟิวเจอร์) โดยกระจายความเสี่ยงไปยังสินค้าตัวแปร 7 ชนิด ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง น้ำตาล ฝ้าย กาแฟ และโกโก้ ที่มีสภาพคล่องสูงและถือว่ายังมีความน่าลงทุนอยู่เพราะแม้ราคาจะปรับขึ้นมาพอสมควรแล้ว แต่ตลาดโลกยังมีความต้องการสินค้าประเภทนี้อยู่สูง ทั้งนี้กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอีกด้วย
ส่วนกองทุนเปิด K-GOLD จะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR Gold Trust โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ จุดเด่นของการลงทุนใน K-GOLD คือสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการลงทุน โดยทำให้พอร์ตการลงทุนมีความเสี่ยงลดลงได้ เนื่องจากราคาทองคำมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำกับราคาหุ้น หรือราคาตราสารหนี้
"ผู้ลงทุนสามารถลงทุนกับกองทุน FIF ทั้ง 3 กองทุนดังกล่าว ในช่วงเสนอขายครั้งแรกได้ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท สามารถจองซื้อได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือ บลจ.กสิกรไทย จำกัด หรือตัวแทนสนับสนุนการขายของ บลจ.กสิกรไทย"
นางวิวรรณ กล่าวเสริมว่า ส่วนอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ทำให้ผลตอบแทนจากตลาดตราสารหนี้ยังไม่สดใสนัก แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ทั้งนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีหากผู้ลงทุนต้องการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในประเทศไปสู่การลงทุนในต่างประเทศเพื่อสร้างโอกาสในการแสวงหาผลตอบแทนที่ดีขึ้น"
กำลังโหลดความคิดเห็น