ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ สินทรัพย์ที่มีอัตราการเจริญเติบโตโดดเด่นเป็นที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้นสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน และทองคำ โดยทองคำเองนับว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีค่า มีราคาในตัวเอง และสามารถเก็บรักษามูลค่าเอาไว้ได้ในช่วงที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง รวมทั้งเมื่อเกิดวิกฤติการณ์ ทุกคนจะหันไปซื้อทองคำมาเก็บไว้ ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นไป
ขณะเดียวกัน การลงทุนในทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันแพง อัตราเงินเฟ้อสูง ตลาดหุ้นตกต่ำ และปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐอเมริกา ทั้งยังเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่ได้รับความนิยมในการลงทุน เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงจากสินทรัพย์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในทองคำโดยตรง หรือเแม้กระทั่งการลงทุนหน่วยลงทุนผ่านกองทุนอีทีเอฟ (ETF) หรือ Exchange Traded Fund
นอกจากนี้ ธนาคารกลางของแต่ละประเทศที่เคยสำรองเงินทุนเป็นพันธบัตร ทองคำ และเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปัจจุบันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง จึงเริ่มหันไปหาสินทรัพย์อื่นที่จะไม่ด้อยค่าลงไป โดยจีนมีการสำรองทองคำไว้เพียง 1% เท่านั้น ขณะที่ประเทศในกลุ่มจี 7 อาทิ สหรัฐอเมริกา ได้สำรองทองคำไว้ประมาณ 77.9% เยอรมนี มี 66.2% หากจีนเพิ่มการสำรองทองคำขึ้นเป็น 5% ก็จะเพิ่มจำนวนของอุปสงค์ขึ้นไปอีกมาก
จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดียที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในโลก ส่งผลให้เกิดความต้องการทองคำมากขึ้น โดยคนจีนและอินเดียจะนิยมซื้อทองคำไปทำเครื่องประดับตกแต่ง และในปีนี้คนรัสเซียที่มีรายได้เพิ่มขึ้นก็หันไปซื้อทองคำเพิ่มขึ้นเช่นกัน ขณะเดียวกัน คุณสมบัติของทองคำยังสามารถนำไฟฟ้าได้ดี โรงงานอุตสาหกรรมยังจำเป็นต้องใช้ และยังมีอุปสงค์จากกองทุน ETF ที่ลงทุนในทองคำอีกส่วนหนึ่ง ขณะที่การผลิตของเหมืองแร่ทองคำมีกำลังการผลิตลดลง โดยส่วนใหญทองคำจะผลิตจากแอฟริกาใต้ แต่กลับมีปัญหาเรื่องไฟฟ้า และแรงงาน ทำให้การผลิตทองคำมีไม่เพียงพอกับความต้องการ
วันนี้ “MutualFund IPO” ขอพาไปดูกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลด์ ลิงค์ (SCB GOLD LINKED OPEN END FUND : SCBGLF) ซึ่งจะเน้นลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structure note) ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาทองคำที่อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งถือว่าน่าสนใจทีเดียวสำหรับทางเลือกในการกระจายความเสี่ยง เพื่อหาผลตอบแทนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย
กำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เล่าให้ฟังว่า บริษัทได้เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (FIF) อีก 1 กองทุน คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลด์ ลิงค์ ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ ประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุน อายุโครงการประมาณ 1 ปี มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท โดยจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) และครั้งเดียวระหว่างวันที่ 15-21 พฤษภาคม 2551
สำหรับกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลด์ ลิงค์ มีนโยบายลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝงที่มีเงื่อนไขที่จะชำระเงินต้นคืนเต็มจำนวนซึ่งออกโดยสถาบันการเงินต่างประเทศ ที่อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (investment grade) ทั้งนี้ การลงทุนในตราสารแห่งหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศจะมีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ส่วนที่เหลือบริษัทจัดการอาจพิจารณาลงทุนในเงินฝาก หรือตราสารแห่งหนี้ในประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรองเงินไว้สำหรับการดำเนินงาน รอการลงทุน หรือรักษาสภาพคล่อง การลงทุนในตราสารหนี้ดังกล่าวข้างต้นอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. และธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ตลอดจนหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนดหรือให้ความเห็นชอบและบริษัทจัดการอาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ที่มีตัวแปรอ้างอิงเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุน (Hedging)
“กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลด์ ลิงค์ จะเน้นลงทุนในสตรักเจอร์โน้ตที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาทองคำที่อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยเปรียบเทียบราคาทองคำ ณ วันจัดตั้งกองทุน และวันครบอายุกองทุน หากสุดท้ายราคาทองคำปรับเพิ่มตั้งแต่ 1 สตางค์ขึ้นไป จะได้รับผลตอบแทน 8.5% ต่อปี ส่วนกรณีที่ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 10% จะได้รับผลตอบแทนเท่ากับ 10% ต่อปี โดยจะเข้าไปลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงินของสถาบันการเงินต่างประเทศประมาณ 4-5 แห่งที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ โดยจะมีลักษณะคุ้มครองเงินต้นที่สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย แต่จะไม่มีการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียและสกุลเงินบาท”
ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาทองคำได้มีการปรับตัวลดลงมาพอสมควร จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเสนอขายกองทุน SCBGLF และที่ผ่านมาราคาทองคำจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นไปชนะอัตราเงินเฟ้อมาโดยตลอด ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียและสกุลเงินบาทมีความผันผวนบ้าง แต่อยู่ในลักษณะที่ไม่กำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมากนัก
กำพล บอกว่า หากราคาทองคำปรับขึ้นไป 5% จะได้รับผลตอบแทนที่ 5% เท่านั้น แต่หากเข้าไปซื้อกองทุน SCBGLF การที่ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นไป 5% จะได้รับผลตอบแทนเพิ่มเป็น 8.5% หากเชื่อว่าราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10% ก็ควรจะเข้าไปลงทุนในกองทุนดังกล่าวเช่นกัน เพราะว่าจะได้รับผลตอบแทนมากกว่า นอกจากนี้ การที่จะไปซื้อทองคำแท่งจะต้องมีเงินลงทุนในปริมาณที่มาก จึงจะสามารถลงทุนได้ ส่วนกองทุน SCBGLF จะสามารถเริ่มต้นลงทุนได้ที่ 10,000 บาทเท่านั้น เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปสู่หลักทรัพย์อื่นๆ
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาทองคำปรับลดลงมามากในช่วงนี้ นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการจัดตั้งกองทุน เพราะว่าเมื่อราคาทองคำมีราคาที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อจัดตั้งกองทุนแล้วโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับเพิ่มขึ้นไปก็มีความเป็นไปได้สูง ขณะที่หากทองคำมีราคาที่อยู่ในระดับที่สูงอยู่แล้ว โอกาสที่ราคาทองคำจะปรับเพิ่มขึ้นไปอีกจึงค่อนข้างยาก ดังนั้น ระดับราคาทองคำในปัจจุบันจึงนับว่าเป็นระดับที่เหมาะสมกับการจัดตั้งกองทุน
สำหรับกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลด์ ลิงค์ กองทุน มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท และสามารถลงทุนขั้นต่ำได้เพียง 10,000 บาท โดยจะเปิดการเสนอขายครั้งแรกและครั้งเดียวระหว่างวันที่ 15 – 21 พฤษภาคม 2551 ....ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ทุกสาขา หรือบริการธนาคารทางอินเทอร์เน็ต SCB Call Center โทร (02) 777-7777 กด 0 กด 4 ติดต่อ Web service หรือที่ บลจ.ไทยพาณิชย์ โทร. (02) 626-2222 ต่อ 88 หรือ www.scbam.com หรือสามารถซื้อหน่วยลงทุนผ่านทาง SCB Easy Net ที่ www.scbeasy.com