xs
xsm
sm
md
lg

พรีมาเวสท์ติดเรื่องประกาศเอ็นเอวีเลื่อนยุบโลว์โอเวอร์เป็นกองเดียวใช้ครึ่งปีหลัง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พรีมาเวสท์เลื่อนยุบกองโรลโอเวอร์เป็นกองทุนเดียว เหตุติดเรื่องประกาศเอ็นเอวี หวั่นเกิดความเหลื่อมล้ำกันระหว่างผู้ลงทุนในการคิดผลตอบแทน แต่เชื่อยังมีทางแก้และนำมาใช้ได้ภายช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ระบุจะเป็นการลดต้นทุนจากขั้นตอนที่ลดลงอย่างแน่นอน พร้อมเล็งออกกองบอนด์ในประเทศ 1 ปี เพิ่มทางเลือกนักลงทุน หลังชิมลางส่งกรุงศรี-พรีมาเวสท์ ชอร์ทเทอม อินคัม 6M1 อายุ 6 เดือน ให้ยิลด์ 3% ต่อปีไปแล้ว มั่นใจกองบอนด์ในประเทศขายได้ แม้จะให้ยิลด์ต่ำกว่าFIF บอนด์โสม เนื่องจากยังมีดีมานของลูกค้าที่ชอบการลงทุนในประเทศอยู่

นายเพิ่มพล ประเสริฐล้ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม พรีมาเวสท์ จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการยุบรวมกองทุนโรโอเวอร์ของบริษัทว่า หลังจากที่บริษัทเคยมีแผนที่จะยุบรวมกองทุนประเภทนี้เป็นกองทุนเดียว เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับนักลงทุนด้วยการลดต้นทุนการบริหารงานของบริษัท และคาดว่าจะสามารถทำได้ในไตรมาส 2 ของปีนี้นั้น คงจะต้องมีการเลื่อนโปรเจกต์ดังกล่าวออกไปสักระยะหนึ่งก่อน

ทั้งนี้ เนื่องจากยังติดเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อยู่ ในเรื่องของการประกาศ มูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารของกองทุน(NAV) ซึ่งหากยุบรวมเป็นกองทุนเดียวแล้วการประกาศ NAV เป็นตัวเดียวกันจะทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันระหว่างนักลงทุน

นอกจากนี้ การรวมกองโรว์โอเวอร์เป็นกองเดียวกันยังอุปสรรคในเรื่องของการประกาศผลตอบแทน เนื่องจากช่วงเวลาของนักลงทุนในแต่ละกองไม่เท่ากัน และเมื่อรวมNAV เป็นตัวเดียวกันการคิดผลตอบแทนจะยิ่งเพิ่มความลำบากในการคำนวณมากขึ้น

“ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงดำเนินงานยังไม่เรียบร้อย ซึ่งตอนแรกว่าจะทำได้ในช่วงไตรมาส 2 แต่มันติดกฎ ก.ล.ต.ในการประกาศ NAV เมื่อรวมแล้วประกาศตัวเดียวมันจะมีความได้เปรียบกันในเรื่องเวลาลงทุน ซึ่งรีเทิร์นจะต่างกันไปด้วย ทำให้คิดลำบาก”นายเพิ่มพลกล่าว

นายเพิ่มพล กล่าวอีกว่า การรวมกองโรว์โอเวอร์ขณะนี้อยู่ในช่วงแก้ไข และน่าจะนำมาใช้ได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยวิธีที่จะนำมาใช้คงจะเป็นการกำหนดวันเข้าและออกสำหรับนักลงทุนในแต่ละเดือนให้พร้อมกันหมด โดยจะต้องมีการแจ้งต่อลูกค้าในแต่ละรอบ และเลือกตัดประกาศ NAV ให้สอดคล้องกันเหมือนปกติ

ทั้งนี้ น่าจะเป็นผลดีในการคิดผลตอบแทนประมาณการณ์ได้สะดวกยิ่งขึ้น ส่วนการลดต้นทุนในการบริหารคงจะคิดไม่ได้ว่าจะเป็นกี่เปอร์เซนต์ โดยจะต้องดูก่อนว่ากองมีขนาดใหญ่เท่าไร
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการลดต้นทุนในการบริหารจะเกิดขึ้นแน่นอนอยู่ โดยการลดขั้นตอนบางส่วนอย่างเช่น การประกาศNAV เมื่อเหลือแค่ตัวเดียวต้นทุนในส่วนนี้ก็ลดตามไปด้วย

นายเพิ่มพล กล่าวอีกว่า ในไตรมาสที่ผ่านมาสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารของบริษัท AUM มีการปรับตัวลดลงบางตามอุตสาหกรรม เนื่องจากมีการครบกำหนดของกองทุน ส่วนกองทุนโรว์โอเวอร์เองมีบางส่วนที่เมื่อครบกำหนดโครงการแล้วนำเงินไปลงทุนในกองทุนอื่น แต่ก็มีบางส่วนที่นำเงินมาลงทุนในกองทุนนี้ต่อเช่นกัน

ทั้งนี้ ทางบริษัทเองยังมีการออกกองทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาเพื่อรักษาฐานลูกค้าของบริษัท ซึ่งล่าสุดได้มีการเปิดขายกองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์ ชอร์ทเทอม อินคัม 6M1 ระหว่งวันที่ 7-13 พฤษภาคม โดยเป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ภายในประเทศ

โดยจะมีสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล รุ่นTB08N12A ร้อยละ 40 ตั๋วแลกเงินของบริษัทอยุธยาดีเวลลอปเม้นท์ลีสซิ่ง จำกัด ร้อยละ 20 ตั๋วแลกเงินของบริษัทไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัดร้อยละ 20 และตั๋วแลกเงินของบริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด ร้อยละ 20 โดยมีผลตอบแทนที่ประมาณการณ์ไว้ที่ 3.0% ต่อปี

นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมที่จะออกกองทุนรวมพันธบัตรภายในประเทศอายุ 1 ปี เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนอีกหลังจากนี้

นายเพิ่มพล กล่าวอีกว่า การที่บริษัทออกกองทุนพันธบัตรในประเทศแทนที่จะออกกองทุนรวมพันธบัตรต่างประเทศอย่างเช่น เกาหลี เนื่องจากมองว่านักลงทุนบ้างส่วนยังมีความต้องการลงทุนในประเทศอยู่ และน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีให้กับนักลงทุนได้

ทั้งนี้ ถึงแม้กองทุนนี้อาจจะให้ผลตอบแทนน้อยกว่า การลงทุนผ่านกองทุนพันธบัตรต่างประเทศในระยะเวลาเดียวกัน แต่กองทุนลักษณะนี้มีเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในต่างประเทศอยู่แล้ว

“กองบอนด์ในประเทศมันก็มีอีกฐานลูกค้า ซึ่งเราออกมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน นอกเหนือจากกองFIF เกาหลี ถึงแม้ว่าใน 6 เดือนยิลด์ที่ได้จะต่างกัน แต่นักลงทุนไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศ”นายเพิ่มพลกล่าว

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากกองทุตราสารหนี้แล้ว บริษัทยังให้ความสนใจที่จะออกกองทุนประเภทอื่นด้วย ทั้งกองทุนสินค้าเกษตร และกองอสังหาริมทรัพย์ แต่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณา แต่เชื่อว่าส่วนกองทุนของบริษัทในปีนี้น่าจะเป็นตราสารหนี้มากกว่า เนื่องจากฐานลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทจะนิยมลงทุนในกองทุนประเภทนี้มากกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น