กองทุนต่างชาติ "Whiterock Global Fund , SPC" ทุ่มเงิน 7,167.95 ล้านบาท เข้าเก็บหุ้นบมจ.จี สตีล (GSTEEL) จำนวน 19.33% ในราคา 2.69472 บาท สูงกว่าราคาตลาด ดันตัวเองกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ขณะที่บล.กิมเอ็ง ให้คำแนะนำ ถือ" กำหนดราคาเหมาะสมที่ 1.10 บาท
รายงานข่าวจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 กองทุน Whiterock Global Fund , SPC ได้ทำการซื้อหุ้นสามัญที่เป็นหลักทรัพย์ของบริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL โดยการซื้อตรงจากบริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,660 ล้านหุ้น คิดเป็น 19.33% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 2.69472 บาท คิดเป็นมูลค่าประมาณ 7,167.95 ล้านบาท
ทั้งนั้นหลังจากการซื้อหุ้นจะส่งผลทำให้ กองทุน Whiterock Global Fund , SPC จะมีหุ้นที่เป็นของบมจ.จี สตีล จำนวน 2,660 ล้านหุ้น คิดเป็น 19.33% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด จากเดิมที่กองทุนไม่มีการถือครองหุ้นของบมจ.จี สตีล มาก่อน
ขณะเดียวกัน วานนี้ (10 เม.ย.51) หุ้นของบมจ.จี สตีลปิดที่ 1.15 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 546.96 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการเข้าซื้อหุ้นของกองทุนWhiterock Global Fund , SPC ในครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตุว่าได้เข้าซื้อหุ้นในราคาสูงถึง 2.69472 บาทต่อหุ้น มากกว่าราคาที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของ GSTEEL ที่ปิดการซื้อขายในวันที่ 31 มีนาคม 2551ที่ 0.78 บาท กว่า 1.94 บาท หรือ 245.47% ในขณะที่หลังจากการเข้ามาถือหุ้น ราคาหลักทรัพย์ของ GSTEEL ก็มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า บริษัทให้คำเเนะนำ "ถือ" หุ้นของ GSTEEL ในราคาที่เหมาะสมที่ 1.10บาท เนื่องมาจากประเมินว่าในไตรมาส 1 บริษัทจะมีผลประกอบการเพิ่มขึ้น 74% จากไตรมาสก่อน และ 336% จากปีก่อน และหากรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกประมาณ 400 ล้านบาท จะมีกำไรสุทธิที่สูงถึง 1,000 ล้านบาท โดยผลกำไรที่ปรับตัวขึ้นเนื่องมาจากได้แรงหนุนจากราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาเหล็กรีดร้อนในตลาดโลก ในขณะที่ GSTEEL ยังมีสินค้าในสต็อกในไตรมาสสูง
ด้ายแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 คาดหมายว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง จากราคาเหล็กรีดร้อนที่ส่งมอบในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แต่ระดับกำไรอาจจะมีการชะลอตัวลงเหลือประมาณ 400-500 ล้านบาทจากต้นทุนเศษเหล็ก และ Pig Iron ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก
ส่วนแนวโน้มราคาเหล็กในตลาดโลกในครึ่งปีหลัง บล.กิมเอ็ง คาดหมายว่า จะมีการปรับลดลง หลังจากที่ครึ่งปีแรกมีการเก็งกำไรในราคาเหล็กมากกว่าต้นทุนแร่เหล็กที่ปรับเพิ่มขึ้น 65% สอดคล้องกับความเห็นของ Mysteel Issue 229 ที่คาดการณ์ว่าราคาเหล็กรีดร้อนส่งออกของจีนในช่วง 3 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มจะถดถอยลงมาที่บริเวณ 700 เหรียญ/ตัน จากจุดสูงสุดประมาณ 900-950 เหรียญ/ตัน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง การสต็อกจำนวนมากของเทรดเดอร์ และ ภาวะอิ่มตัวของความต้องการ ทำให้ผลของราคาเหล็กโลกที่ลดลง คาดจะทำให้กำไรของ GSTEEL ครึ่งปีหลังลดลงอย่างมาก
สำหรับรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรกของบมจ. จี สตีล ณ วันที่ 04 มีนาคม 2551 ประกอบไปด้วย 1.บริษัท ซูพีเรียร์ โอเวอร์ซีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้นจำนวน 2,522,588,903 หุ้น คิดเป็น 22.73% , 2.NOMURA SINGAPORE LIMITED-CUSTOMER SEGREGATED ACCOUNT ถือหุ้นจำนวน 1,421,862,405 หุ้น คิดเป็น 12.81 % , 3.AMPLE VISION GROUP LIMITED ถือหุ้นจำนวน 1,000,000,000 หุ้น คิดเป็น 9.01% ,4. ปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ถือหุ้นจำนวน 686,802,793 หุ้น คิดเป็น 6.19 % ,5. UOB KAY HIAN PRIVATE LIMITED ถือหุ้นจำนวน 500,000,000 หุ้น คิดเป็น 4.50 %
ขณะที่ อันดับ 6. ปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ถือหุ้นจำนวน 400,000,000 หุ้น คิดเป็น 3.60 % , 7.นายนิรัมดร์ งามชำนัญฤทธิ์ ถือหุ้นจำนวน 264,960,800 หุ้น คิดเป็น 2.39 % , 8.QUAM SECURITIES NOMINEE (SINGAPORE) PTE LTD ถือหุ้นจำนวน 204,908,679 หุ้น คิดเป็น 1.85 % , 9. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้นจำนวน 166,109,700 หุ้น คิดเป็น 1.50 % และ 10.บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด ถือหุ้นจำนวน 151,250,000 หุ้น คิดเป็น 1.36 %
รายงานข่าวจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 กองทุน Whiterock Global Fund , SPC ได้ทำการซื้อหุ้นสามัญที่เป็นหลักทรัพย์ของบริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL โดยการซื้อตรงจากบริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,660 ล้านหุ้น คิดเป็น 19.33% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 2.69472 บาท คิดเป็นมูลค่าประมาณ 7,167.95 ล้านบาท
ทั้งนั้นหลังจากการซื้อหุ้นจะส่งผลทำให้ กองทุน Whiterock Global Fund , SPC จะมีหุ้นที่เป็นของบมจ.จี สตีล จำนวน 2,660 ล้านหุ้น คิดเป็น 19.33% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด จากเดิมที่กองทุนไม่มีการถือครองหุ้นของบมจ.จี สตีล มาก่อน
ขณะเดียวกัน วานนี้ (10 เม.ย.51) หุ้นของบมจ.จี สตีลปิดที่ 1.15 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 546.96 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการเข้าซื้อหุ้นของกองทุนWhiterock Global Fund , SPC ในครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตุว่าได้เข้าซื้อหุ้นในราคาสูงถึง 2.69472 บาทต่อหุ้น มากกว่าราคาที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของ GSTEEL ที่ปิดการซื้อขายในวันที่ 31 มีนาคม 2551ที่ 0.78 บาท กว่า 1.94 บาท หรือ 245.47% ในขณะที่หลังจากการเข้ามาถือหุ้น ราคาหลักทรัพย์ของ GSTEEL ก็มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า บริษัทให้คำเเนะนำ "ถือ" หุ้นของ GSTEEL ในราคาที่เหมาะสมที่ 1.10บาท เนื่องมาจากประเมินว่าในไตรมาส 1 บริษัทจะมีผลประกอบการเพิ่มขึ้น 74% จากไตรมาสก่อน และ 336% จากปีก่อน และหากรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกประมาณ 400 ล้านบาท จะมีกำไรสุทธิที่สูงถึง 1,000 ล้านบาท โดยผลกำไรที่ปรับตัวขึ้นเนื่องมาจากได้แรงหนุนจากราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาเหล็กรีดร้อนในตลาดโลก ในขณะที่ GSTEEL ยังมีสินค้าในสต็อกในไตรมาสสูง
ด้ายแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 คาดหมายว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง จากราคาเหล็กรีดร้อนที่ส่งมอบในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แต่ระดับกำไรอาจจะมีการชะลอตัวลงเหลือประมาณ 400-500 ล้านบาทจากต้นทุนเศษเหล็ก และ Pig Iron ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก
ส่วนแนวโน้มราคาเหล็กในตลาดโลกในครึ่งปีหลัง บล.กิมเอ็ง คาดหมายว่า จะมีการปรับลดลง หลังจากที่ครึ่งปีแรกมีการเก็งกำไรในราคาเหล็กมากกว่าต้นทุนแร่เหล็กที่ปรับเพิ่มขึ้น 65% สอดคล้องกับความเห็นของ Mysteel Issue 229 ที่คาดการณ์ว่าราคาเหล็กรีดร้อนส่งออกของจีนในช่วง 3 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มจะถดถอยลงมาที่บริเวณ 700 เหรียญ/ตัน จากจุดสูงสุดประมาณ 900-950 เหรียญ/ตัน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง การสต็อกจำนวนมากของเทรดเดอร์ และ ภาวะอิ่มตัวของความต้องการ ทำให้ผลของราคาเหล็กโลกที่ลดลง คาดจะทำให้กำไรของ GSTEEL ครึ่งปีหลังลดลงอย่างมาก
สำหรับรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรกของบมจ. จี สตีล ณ วันที่ 04 มีนาคม 2551 ประกอบไปด้วย 1.บริษัท ซูพีเรียร์ โอเวอร์ซีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้นจำนวน 2,522,588,903 หุ้น คิดเป็น 22.73% , 2.NOMURA SINGAPORE LIMITED-CUSTOMER SEGREGATED ACCOUNT ถือหุ้นจำนวน 1,421,862,405 หุ้น คิดเป็น 12.81 % , 3.AMPLE VISION GROUP LIMITED ถือหุ้นจำนวน 1,000,000,000 หุ้น คิดเป็น 9.01% ,4. ปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ถือหุ้นจำนวน 686,802,793 หุ้น คิดเป็น 6.19 % ,5. UOB KAY HIAN PRIVATE LIMITED ถือหุ้นจำนวน 500,000,000 หุ้น คิดเป็น 4.50 %
ขณะที่ อันดับ 6. ปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ถือหุ้นจำนวน 400,000,000 หุ้น คิดเป็น 3.60 % , 7.นายนิรัมดร์ งามชำนัญฤทธิ์ ถือหุ้นจำนวน 264,960,800 หุ้น คิดเป็น 2.39 % , 8.QUAM SECURITIES NOMINEE (SINGAPORE) PTE LTD ถือหุ้นจำนวน 204,908,679 หุ้น คิดเป็น 1.85 % , 9. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้นจำนวน 166,109,700 หุ้น คิดเป็น 1.50 % และ 10.บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด ถือหุ้นจำนวน 151,250,000 หุ้น คิดเป็น 1.36 %