ราคานำมันยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกจากฝีมือเฮดจ์ ฟันด์ และความไม่สงบในตะวันออกกลาง กูรูชี้แม้ปรับตัวลดลงแต่ยังอยู่ในระดับสูง เช่นเดียวกับกับราคาทองคำที่ดีดตัวขึ้นจากความกังวลด้านเศรษฐกิจ พร้อมคาดเม็ดเงินนอกไหลเข้าไทยช่วงปลายไตรมาส2 -3 ดันดัชนีตลาดหุ้นมีลุ้นแตะ 1,000 จุด แนะหุ้นกลุ่มเซอร์วิส - แบงก์ - มีเดีย มีแนวโน้มการเติบโตสูง
นายสุชีล นารูลา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า ตั้งเต่ต้นปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยผันผวนมาก ชนิดที่ต้องประเมินสถานการณ์กันแบบวันต่อวัน แต่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายได้คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะไม่ลงต่ำกว่านี้ เพราะปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยยังทรงตัวอยู่ ทำให้นักลงทุนที่ได้รับผลกระทบในช่วงก่อนหน้านี้จะได้รับผลกระทบไม่รุนแรงมากนัก
“สำหรับหุ้นที่น่าจับตามองในอนาคตได้แก่ กลุ่มเซอร์วิส กลุ่มไอซีที กลุ่มมีเดีย ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูงโดยกลุ่มเซอร์วิสจะไม่ติดปัญหาเรื่องเงินเฟ้อมากนัก เรียกว่าเป็นอุตสาหกรรมแบบปูพรมหรือลงทุนในระยะยาว ส่วนเรื่องการลงทุนในน้ำมันอยากให้ตรวจสอบดูให้ดี ไม่อยากให้ลงทุนมากเกินไป” นายสุชินกล่าว
ขณะที่การประชุมเรื่องการดอกเบี้ยของ กนง. นั้น รองกรรมการผู้จัดการบล.กสิกรไทย กล่าวว่าคงจะไม่กระทบกับตลาดหลักเท่าไรนักจากหลายฝ่ายได้คาดการณ์ไว้ว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโนบายไว้ที่ 0.25% ตามเดิม อย่างไรก็ตามภายใต้เงื่อนไขที่สามารถควบคุมและไม่ยืดเยื้อ เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนได้ในช่วงปลายไตรมาส 2-ไตรมาส 3 ซึ่งก็จะผลักดันให้ดัชนีปรับไปที่ 900-1,000 จุด โดยวานนี้ (8เม.ย.) ดัชนีปิดตลาดที่ 826.85 จุด เพิ่มขึ้น 2.05 จุด หรือ 0.25% มูลค่าการซื้อขาย 19,236.09 ล้านบาท
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลยุทธ์เเละพัฒนาองค์กร บริษัท ปตท จำกัด มหาชน กล่าวว่า การลงทุนในน้ำมันยังถือว่าให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ ณ ตอนนี้และราคาน้ำมันในตลาดโลกก็นับว่าสูงเช่นกัน โดยราคาน้ำมันในปีนี้มีแนวโน้มที่จะปรับไปอยู่ในระดับ 100 เหรียญ/บาร์เรลเนื่องจากปัจจุบันมีปัจจัยเข้ามาสอดแทรกจากภาวะภูมิอากาศ และการเข้ามาเก็งกำไรของนักลงทุนเฮจด์ฟันด์ จึงส่งผลทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานที่จะส่งผลต่อราคาน้ำมันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ส่วนก๊าซธรรมชาตินั้น มีทิศทางรายได้และความเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามราคาน้ำมันด้วยเช่นกัน โดยก๊าซ LPG ก็มีการปรับตัวขึ้นจาก 300 เหรียญ มาอยู่ที่ 800 เหรียญ แต่บริษัทยังตรึงราคาที่ 300 เหรียญอยู่ ซึ่งในอนาคตก็มีแนวโน้มที่ราคาคงจะปรับขึ้นแน่นอนในส่วนของอุตสาหกรรมและขนส่ง ที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น
“ความเป็นจริง กำไรที่ปตท.ได้รับจะมาจากบริษัทลูก เช่นป.ต.ท สผ. หรือการผลิตก๊าซธรรมชาติในอนาคตถ้าน้ำมันในตลาดโลกยังมีราคาสูงอยู่ซึ่งทำให้คนใช้น้ำมันน้อยลง ดังนั้นความต้องการของน้ำมันก็จะน้อยตามไปด้วยและทำให้บริษัทต้องมองหาพลังงานทดแทนมากขึ้น” นายเทวินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ หากประเมินการเข้ามาเก็งกำไรของเฮดจ์ฟันด์ในช่วงที่ผ่านมา มองว่าเป็นผลมาจากการแสวงหาตลาดเพื่อนำเงินไปลงทุน นอกเหนือไปจากตลาดหุ้นและตราสารหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาซัพไพรม์ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ตลาดโลกมองว่าราคาน้ำมันในปีนี้จะมีทิศทางที่ลดลงแต่ยังทรงตัวในระดับสูง นอกจากจะมีปัจจัยอย่างสงครามระหว่างอเมริกาและอิหร่านที่จะทำให้ราคาน้ำมันมีโอกาสไปถึง 200 เหรียญ/บาเรล ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำมันหายไปจากตลาด 20 %
นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จำกัด กล่าวถึงการลงทุนในทองคำว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองไม่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันมากนัก แต่ราคาทองที่เพิ่มขึ้นจะมาจากความวิตกกังวลต่อความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วงวิกฤตหรือมีสงคราม ซึ่งเห็นได้ชัดในช่วงที่สถาบันการเงินของสหรัฐมีปัญหาในช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ราคาทองขึ้นไปแตะราคาสูงสุดที่ 1,000 เหรียญ/ออนซ์
ดังนั้นช่วงนี้ถ้าให้มองราคาทองคำวันต่อวันคงจะไม่ส่งผลดีต่อนักลงทุน เพราะราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาลดลงอย่างมาก ทำให้เกิดการขาดทุนจากการเก็งกำไรในช่วงระยะสั้น ส่วนการที่กองทุนไอเอ็มเอฟนำทองที่ถือไว้นำทองออกมาประมาณ 10% เพื่อไปลงทุนในตราสารหนี้ เชื่อว่าจะไม่ส่งผลให้ราคาทองสูงขึ้นจนน่าวิตก
“การลงทุนในทองคำ ควรที่จะลงทุนในระยะยาว เพราะในอนาคตราคาทองคำน่าจะสูงพอสมควรโดยทองคำจะมีอายุในการลงทุนเฉลี่ยที่ 15 ปี ซึ่งตอนนี้ขึ้นมา 7 ปีแล้ว ถ้าจะลงทุนในช่วงเวลาที่เหลือก็น่าจะยังให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ ที่สำคัญราคาทองคำไม่น่าจะเหวี่ยงลงไปต่ำกว่านี้” นายบุญเลิศ กล่าว
ขณะเดียวกัน ตลาดคาดการณ์ราคาทองในปีนี้อยู่ที่ 744 เหรียญ/ออนซ์ และเฉลี่ยทั้งปี 862 เหรียญ/ออนซ์ ดังนั้น การคาดการณ์ว่าราคา 1,000 เหรียญ/ออนซ์ จึงมีความเสี่ยงสูงในการจะหากำไร รวมทั้งผู้ลงทุนยังต้องติดตามการซื้อขายอย่างใกล้ชิด เพราะตลาดค่อนข้างเปราะบาง และปัจจจัยทั้งค่าเงินสกุลอเมริกาและเศรษฐกิจโลกมากระทบราคาได้ง่าย
ทั้งนี้ราคาทองคำ ณ วันที่ 8 เมษายน 2551 ทองคำแท่งอยู่ที่ 13,850 บาท ราคารับซื้อคืนอยู่ที่ 13,950 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณอยู่ที่ 13,644 บาท ราคาขายอยู่ที่ 14,350 บาท
นายสุชีล นารูลา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า ตั้งเต่ต้นปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยผันผวนมาก ชนิดที่ต้องประเมินสถานการณ์กันแบบวันต่อวัน แต่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายได้คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะไม่ลงต่ำกว่านี้ เพราะปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยยังทรงตัวอยู่ ทำให้นักลงทุนที่ได้รับผลกระทบในช่วงก่อนหน้านี้จะได้รับผลกระทบไม่รุนแรงมากนัก
“สำหรับหุ้นที่น่าจับตามองในอนาคตได้แก่ กลุ่มเซอร์วิส กลุ่มไอซีที กลุ่มมีเดีย ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูงโดยกลุ่มเซอร์วิสจะไม่ติดปัญหาเรื่องเงินเฟ้อมากนัก เรียกว่าเป็นอุตสาหกรรมแบบปูพรมหรือลงทุนในระยะยาว ส่วนเรื่องการลงทุนในน้ำมันอยากให้ตรวจสอบดูให้ดี ไม่อยากให้ลงทุนมากเกินไป” นายสุชินกล่าว
ขณะที่การประชุมเรื่องการดอกเบี้ยของ กนง. นั้น รองกรรมการผู้จัดการบล.กสิกรไทย กล่าวว่าคงจะไม่กระทบกับตลาดหลักเท่าไรนักจากหลายฝ่ายได้คาดการณ์ไว้ว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโนบายไว้ที่ 0.25% ตามเดิม อย่างไรก็ตามภายใต้เงื่อนไขที่สามารถควบคุมและไม่ยืดเยื้อ เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนได้ในช่วงปลายไตรมาส 2-ไตรมาส 3 ซึ่งก็จะผลักดันให้ดัชนีปรับไปที่ 900-1,000 จุด โดยวานนี้ (8เม.ย.) ดัชนีปิดตลาดที่ 826.85 จุด เพิ่มขึ้น 2.05 จุด หรือ 0.25% มูลค่าการซื้อขาย 19,236.09 ล้านบาท
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลยุทธ์เเละพัฒนาองค์กร บริษัท ปตท จำกัด มหาชน กล่าวว่า การลงทุนในน้ำมันยังถือว่าให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ ณ ตอนนี้และราคาน้ำมันในตลาดโลกก็นับว่าสูงเช่นกัน โดยราคาน้ำมันในปีนี้มีแนวโน้มที่จะปรับไปอยู่ในระดับ 100 เหรียญ/บาร์เรลเนื่องจากปัจจุบันมีปัจจัยเข้ามาสอดแทรกจากภาวะภูมิอากาศ และการเข้ามาเก็งกำไรของนักลงทุนเฮจด์ฟันด์ จึงส่งผลทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานที่จะส่งผลต่อราคาน้ำมันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ส่วนก๊าซธรรมชาตินั้น มีทิศทางรายได้และความเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามราคาน้ำมันด้วยเช่นกัน โดยก๊าซ LPG ก็มีการปรับตัวขึ้นจาก 300 เหรียญ มาอยู่ที่ 800 เหรียญ แต่บริษัทยังตรึงราคาที่ 300 เหรียญอยู่ ซึ่งในอนาคตก็มีแนวโน้มที่ราคาคงจะปรับขึ้นแน่นอนในส่วนของอุตสาหกรรมและขนส่ง ที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น
“ความเป็นจริง กำไรที่ปตท.ได้รับจะมาจากบริษัทลูก เช่นป.ต.ท สผ. หรือการผลิตก๊าซธรรมชาติในอนาคตถ้าน้ำมันในตลาดโลกยังมีราคาสูงอยู่ซึ่งทำให้คนใช้น้ำมันน้อยลง ดังนั้นความต้องการของน้ำมันก็จะน้อยตามไปด้วยและทำให้บริษัทต้องมองหาพลังงานทดแทนมากขึ้น” นายเทวินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ หากประเมินการเข้ามาเก็งกำไรของเฮดจ์ฟันด์ในช่วงที่ผ่านมา มองว่าเป็นผลมาจากการแสวงหาตลาดเพื่อนำเงินไปลงทุน นอกเหนือไปจากตลาดหุ้นและตราสารหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาซัพไพรม์ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ตลาดโลกมองว่าราคาน้ำมันในปีนี้จะมีทิศทางที่ลดลงแต่ยังทรงตัวในระดับสูง นอกจากจะมีปัจจัยอย่างสงครามระหว่างอเมริกาและอิหร่านที่จะทำให้ราคาน้ำมันมีโอกาสไปถึง 200 เหรียญ/บาเรล ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำมันหายไปจากตลาด 20 %
นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จำกัด กล่าวถึงการลงทุนในทองคำว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองไม่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันมากนัก แต่ราคาทองที่เพิ่มขึ้นจะมาจากความวิตกกังวลต่อความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วงวิกฤตหรือมีสงคราม ซึ่งเห็นได้ชัดในช่วงที่สถาบันการเงินของสหรัฐมีปัญหาในช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ราคาทองขึ้นไปแตะราคาสูงสุดที่ 1,000 เหรียญ/ออนซ์
ดังนั้นช่วงนี้ถ้าให้มองราคาทองคำวันต่อวันคงจะไม่ส่งผลดีต่อนักลงทุน เพราะราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาลดลงอย่างมาก ทำให้เกิดการขาดทุนจากการเก็งกำไรในช่วงระยะสั้น ส่วนการที่กองทุนไอเอ็มเอฟนำทองที่ถือไว้นำทองออกมาประมาณ 10% เพื่อไปลงทุนในตราสารหนี้ เชื่อว่าจะไม่ส่งผลให้ราคาทองสูงขึ้นจนน่าวิตก
“การลงทุนในทองคำ ควรที่จะลงทุนในระยะยาว เพราะในอนาคตราคาทองคำน่าจะสูงพอสมควรโดยทองคำจะมีอายุในการลงทุนเฉลี่ยที่ 15 ปี ซึ่งตอนนี้ขึ้นมา 7 ปีแล้ว ถ้าจะลงทุนในช่วงเวลาที่เหลือก็น่าจะยังให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ ที่สำคัญราคาทองคำไม่น่าจะเหวี่ยงลงไปต่ำกว่านี้” นายบุญเลิศ กล่าว
ขณะเดียวกัน ตลาดคาดการณ์ราคาทองในปีนี้อยู่ที่ 744 เหรียญ/ออนซ์ และเฉลี่ยทั้งปี 862 เหรียญ/ออนซ์ ดังนั้น การคาดการณ์ว่าราคา 1,000 เหรียญ/ออนซ์ จึงมีความเสี่ยงสูงในการจะหากำไร รวมทั้งผู้ลงทุนยังต้องติดตามการซื้อขายอย่างใกล้ชิด เพราะตลาดค่อนข้างเปราะบาง และปัจจจัยทั้งค่าเงินสกุลอเมริกาและเศรษฐกิจโลกมากระทบราคาได้ง่าย
ทั้งนี้ราคาทองคำ ณ วันที่ 8 เมษายน 2551 ทองคำแท่งอยู่ที่ 13,850 บาท ราคารับซื้อคืนอยู่ที่ 13,950 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณอยู่ที่ 13,644 บาท ราคาขายอยู่ที่ 14,350 บาท