เครือธนาคารกรุงไทย จับมือตลาดหลักทรัพย์จัดโครงการ “Wealth+” กระตุ้นการลงทุนผ่าน RMF- LTF เปิดทางมนุษย์ผู้เสียภาษี ใส่เงินลงทุนได้ทุกเดือน ขั้นต่ำเพียง 500 บาทต่อเดือนเท่านั้น ประเดิมกลุ่มพนักงานเครือแบงก์กรุงไทย และพนักงานจากกองทุนสำรองเสี้ยงชีพ ตั้งเป้าไว้สิ้นปีดึงเงินลงทุนเพิ่ม 10,000 ล้านบาท "สมชัย" เผย แผนลงทุนเวียดนามชะลอไว้ก่อน เหตุเงินเฟ้อในประเทศนี้ยังสูง ด้านความร่วมมือตั้งกองทุนอสังหาฯ กับประเทศตะวันออกกลางคืบ เสนอออฟฟิต 3 โครงการให้พิจารณาแล้ว
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทและธนาคารกรุงไทย ได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดโครงการ “Wealth+” โครงการกระตุ้นลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้ทุกเดือนแทนการรอลงทุนช่วงปลายปีเพียงอย่าเดียว
โดยในระยะแรกนั้นจะให้บริการแก่พนักงานของบริษัทในเครือธนาคารกรุงไทย และองค์กรที่ บลจ.กรุงไทยเป็นผู้บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 14 องค์กร ซึ่งมีพนักงานรวมประมาณทั้งสิ้น 112,000 ราย ซึ่งในเบื้องต้นได้มีนักลงทุนได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวแล้วกว่า 50,000 ราย และคาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาภายในสิ้นปีนี้กว่า 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนในขั้นต่ำได้เพียงเดือนละ 500 บาท
“บริษัทจะทำงานกับฝ่ายบุคคลของแต่ละองค์กรในการให้ความรู้แก่พนักงานร่วกับตลาดหลักทรัพย์ พร้อมทั้งให้คำแนะนำด้านการวางแผนทางการเงิน โดยในอนาคตมีแผนที่จะขยายการให้บริการไปยังกลุ่มลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพขององค์กรอื่น ๆ ที่ยังอยู่ในระหว่างการตอบรับการเข้าร่วมโครงการ และบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่สนในอีกด้วย” นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ไดรับความร่วมมือจากธนาคารกรุงไทย และบริษัทในเครือ ในการเพิ่มช่องทางให้แก่ผู้ลงทุน โดยการเข้าถึงการลงทุนในตลาดทุนมากขึ้น โดยผ่านสำนักงานสาขาออนไลน์เพื่อให้บริการด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ภายในธนาคารกรุงไทยจำนวน 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อให้นักลงทุนได้มีทางเลือกในการลงทุนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นการให้ความรู้แก่นักลงทุนในอีกรูปแบบหนึ่งด้วย เนื่องจากปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญในเรื่องการออมเงินเท่าที่ควร และเมื่อรัฐบาลได้เข้ามาสนับสนุนในเรื่องของภาษีอย่างเต็มที่เกี่ยวกับการลงทุนในกองทุน RMF และ LTF ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ดีที่นักลงทุนจะได้ทำการวางแผนในเรื่องการออมเงิน และคาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถเข้าถึงพนักงานองค์กรมากว่า 100,000 ราย
ทั้งนี้ บลจ. กรุงไทยได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะนำเสนอบริการดังกล่าว ซึ่งเป็นการให้บริการตัดบัญชีเงินเดือนของพนักงานในกลุ่มธนาคารกรุงไทยเพื่อลงทุนในสองกองทุนดังกล่าวในทุก ๆ เดือน รวมทั้งการขอรับคำแนะนำเพิ่มเติมจาก บลจ. กรุงไทย ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เองจะทำการจัดสัมมนาให้ความรู้แก่พนักงานที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขององค์กรขนาดใหญ่ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลตอบแทนจากการลงทุนในสองกองทุนดังกล่าวด้วย
“เชื่อว่าบริการดังกล่าวจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เกิดบริการใหม่ ๆ จากสถาบันทางการเงินต่างๆ ที่จะมีส่วนส่งเสริมให้ประชาชนหันมาให้ความสนใจกับการบริหารเงินและการต่อยอดเงินออมด้วยการลงทุนในกองทุนในกองทุนรวมมากยิ่งขึ้น” นางภัทรียา กล่าว
ชะลอแผนลงทุนเวียดนาม
นายสมชัยกล่าวถึงแผนที่จะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ประเทศเวียดนามในช่วงก่อนหน้านี้ว่า ขณะนี้ได้เลื่อนการลงทุนออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงในเรื่องของเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงถึง 9% ประกอบกับการขาดดุลการค้าและอัตราแลกเปลี่ยนยังคงไม่มีเสถียรภาพ จึงมีความเสี่ยงกับการลงทุน ดังนั้นบริษัทจึงขอรอดูสถานการณ์อีก 2 เดือนข้างหน้าและจึงจะทำการหาข้อสรุปต่อไปว่าจะเข้าไปลงทุนต่อหรือไม่
ส่วนกองทุนเปิดกรุงไทยซาริอะฮ์เพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนเปิดกรุงไทยซาริอะฮ์หุ้นระยะยาวนั้น ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนอิสลาม ส่งผลให้นักลงทุนตะวันออกกลางเล็งเห็นว่าบลจ. กรุงไทยมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุน จึงมีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์และอาหารฮาลาล ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ทำการเสนอกองทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงานประมาณ 3 โครงการ โดยมีโครงการละ 1,000 ล้านบาท ให้กับกลุ่มนักลงทุนตะวันออกกลางพิจารณา ซึ่งถ้านักลงทุนกลุ่มดังกล่าวมีความสนใจก็จะสามารถจัดตั้งได้ทันที
สำหรับกรณีเรื่องการฟื้นฟูกิจการของปิคนิคนั้น ยังคงเป็นไปตามกระบวนการฟื้นฟู โดยจะมีการนัดไต่สวนกันในวันที่ 25 เมษายน นี้ เพื่อทำการพิจารณาคำร้องคัดค้านต่อไป
นายสมชัยกล่าวว่า การพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 9 เมษายนนี้ บริษัทคาดว่า จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ โดยไม่มีการปรับลดลง เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปประจำเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ประกาศออกมาอยู่ที่ 5.3% แต่หากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในครั้งต่อไปมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง อาจส่งผลให้กนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตาม เนื่องจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยมีมาก ถึงแม้ว่าภาวะเงินเฟ้อภายในประเทศยังอยู่ในระดับสูงก็ตาม
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนอยู่ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเมืองภายในประเทศที่ยังไม่นิ่ง ประกอบกับเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐที่ยังมีปัญหาส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม มองว่าหากดัชนีมีการปรับตัวลดลงต่ำกว่า 800 จุด น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะลงทุนในหุ้นเพิ่มจากสัดส่วนเดิมอยู่ที่ 20% โดยหุ้นที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากการที่รัฐบาลเข้ามาช่วยผลันดันเศรษฐกิจตามนโยบายที่ตั้งไว้และหุ้นในกลุ่มพลังงานยังคงน่าสนใจ เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทและธนาคารกรุงไทย ได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดโครงการ “Wealth+” โครงการกระตุ้นลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้ทุกเดือนแทนการรอลงทุนช่วงปลายปีเพียงอย่าเดียว
โดยในระยะแรกนั้นจะให้บริการแก่พนักงานของบริษัทในเครือธนาคารกรุงไทย และองค์กรที่ บลจ.กรุงไทยเป็นผู้บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 14 องค์กร ซึ่งมีพนักงานรวมประมาณทั้งสิ้น 112,000 ราย ซึ่งในเบื้องต้นได้มีนักลงทุนได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวแล้วกว่า 50,000 ราย และคาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาภายในสิ้นปีนี้กว่า 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนในขั้นต่ำได้เพียงเดือนละ 500 บาท
“บริษัทจะทำงานกับฝ่ายบุคคลของแต่ละองค์กรในการให้ความรู้แก่พนักงานร่วกับตลาดหลักทรัพย์ พร้อมทั้งให้คำแนะนำด้านการวางแผนทางการเงิน โดยในอนาคตมีแผนที่จะขยายการให้บริการไปยังกลุ่มลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพขององค์กรอื่น ๆ ที่ยังอยู่ในระหว่างการตอบรับการเข้าร่วมโครงการ และบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่สนในอีกด้วย” นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ไดรับความร่วมมือจากธนาคารกรุงไทย และบริษัทในเครือ ในการเพิ่มช่องทางให้แก่ผู้ลงทุน โดยการเข้าถึงการลงทุนในตลาดทุนมากขึ้น โดยผ่านสำนักงานสาขาออนไลน์เพื่อให้บริการด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ภายในธนาคารกรุงไทยจำนวน 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อให้นักลงทุนได้มีทางเลือกในการลงทุนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นการให้ความรู้แก่นักลงทุนในอีกรูปแบบหนึ่งด้วย เนื่องจากปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญในเรื่องการออมเงินเท่าที่ควร และเมื่อรัฐบาลได้เข้ามาสนับสนุนในเรื่องของภาษีอย่างเต็มที่เกี่ยวกับการลงทุนในกองทุน RMF และ LTF ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ดีที่นักลงทุนจะได้ทำการวางแผนในเรื่องการออมเงิน และคาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถเข้าถึงพนักงานองค์กรมากว่า 100,000 ราย
ทั้งนี้ บลจ. กรุงไทยได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะนำเสนอบริการดังกล่าว ซึ่งเป็นการให้บริการตัดบัญชีเงินเดือนของพนักงานในกลุ่มธนาคารกรุงไทยเพื่อลงทุนในสองกองทุนดังกล่าวในทุก ๆ เดือน รวมทั้งการขอรับคำแนะนำเพิ่มเติมจาก บลจ. กรุงไทย ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เองจะทำการจัดสัมมนาให้ความรู้แก่พนักงานที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขององค์กรขนาดใหญ่ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลตอบแทนจากการลงทุนในสองกองทุนดังกล่าวด้วย
“เชื่อว่าบริการดังกล่าวจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เกิดบริการใหม่ ๆ จากสถาบันทางการเงินต่างๆ ที่จะมีส่วนส่งเสริมให้ประชาชนหันมาให้ความสนใจกับการบริหารเงินและการต่อยอดเงินออมด้วยการลงทุนในกองทุนในกองทุนรวมมากยิ่งขึ้น” นางภัทรียา กล่าว
ชะลอแผนลงทุนเวียดนาม
นายสมชัยกล่าวถึงแผนที่จะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ประเทศเวียดนามในช่วงก่อนหน้านี้ว่า ขณะนี้ได้เลื่อนการลงทุนออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงในเรื่องของเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงถึง 9% ประกอบกับการขาดดุลการค้าและอัตราแลกเปลี่ยนยังคงไม่มีเสถียรภาพ จึงมีความเสี่ยงกับการลงทุน ดังนั้นบริษัทจึงขอรอดูสถานการณ์อีก 2 เดือนข้างหน้าและจึงจะทำการหาข้อสรุปต่อไปว่าจะเข้าไปลงทุนต่อหรือไม่
ส่วนกองทุนเปิดกรุงไทยซาริอะฮ์เพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนเปิดกรุงไทยซาริอะฮ์หุ้นระยะยาวนั้น ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนอิสลาม ส่งผลให้นักลงทุนตะวันออกกลางเล็งเห็นว่าบลจ. กรุงไทยมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุน จึงมีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์และอาหารฮาลาล ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ทำการเสนอกองทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงานประมาณ 3 โครงการ โดยมีโครงการละ 1,000 ล้านบาท ให้กับกลุ่มนักลงทุนตะวันออกกลางพิจารณา ซึ่งถ้านักลงทุนกลุ่มดังกล่าวมีความสนใจก็จะสามารถจัดตั้งได้ทันที
สำหรับกรณีเรื่องการฟื้นฟูกิจการของปิคนิคนั้น ยังคงเป็นไปตามกระบวนการฟื้นฟู โดยจะมีการนัดไต่สวนกันในวันที่ 25 เมษายน นี้ เพื่อทำการพิจารณาคำร้องคัดค้านต่อไป
นายสมชัยกล่าวว่า การพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 9 เมษายนนี้ บริษัทคาดว่า จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ โดยไม่มีการปรับลดลง เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปประจำเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ประกาศออกมาอยู่ที่ 5.3% แต่หากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในครั้งต่อไปมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง อาจส่งผลให้กนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตาม เนื่องจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยมีมาก ถึงแม้ว่าภาวะเงินเฟ้อภายในประเทศยังอยู่ในระดับสูงก็ตาม
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนอยู่ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเมืองภายในประเทศที่ยังไม่นิ่ง ประกอบกับเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐที่ยังมีปัญหาส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม มองว่าหากดัชนีมีการปรับตัวลดลงต่ำกว่า 800 จุด น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะลงทุนในหุ้นเพิ่มจากสัดส่วนเดิมอยู่ที่ 20% โดยหุ้นที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากการที่รัฐบาลเข้ามาช่วยผลันดันเศรษฐกิจตามนโยบายที่ตั้งไว้และหุ้นในกลุ่มพลังงานยังคงน่าสนใจ เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง